31 พ.ค. เวลา 10:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Smart Money ลงทุนยังไง หลังโลกเปลี่ยน | สรุปประเด็น Talk ลงทุนแมน

SET in the City 2025 X ลงทุนแมน
“โลกที่เราเคยรู้จัก กำลังเปลี่ยนไป และอาจไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป”
วันนี้ ลงทุนแมน ชวนมาพูดคุยกับกูรูอย่าง
คุณศรุต ทวีกาญจน์ นักลงทุนมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์ในการลงทุนทั้งในหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ มามากกว่า 10 ปี รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ
กับประเด็นที่ล้วนแต่เป็นคำถามตั้งแต่
ปัจจุบันคุณศรุต ลงทุนในสินทรัย์อะไรบ้าง ?
คุณศรุต เริ่มลงทุนด้วยการสะสมทองคำจากเงินเดือน ก่อนเข้ามาศึกษาตลาดหุ้น เป็นเวลากว่า 10 ปี แล้วขยายไปลงทุนหุ้นอเมริกา หลังโควิดประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา
โอกาสในการลงทุนปัจจุบันนี้ อยู่ตรงไหน ?
คุณศรุต เน้นลงทุนโดยให้ความสำคัญกับการปกป้องเงินต้น และเลือกสินทรัพย์ที่ราคายังไม่แพง เช่น ตลาดหุ้นจีน ไทย และเวียดนาม
ซึ่งมีพื้นฐานดี และราคาลงมาก
ส่วนตลาดที่ขึ้นสูงแล้วอย่างหุ้นอเมริกา ทองคำ และ Bitcoin ยังมองว่าเสี่ยง แต่ก็ลงทุนได้ในสัดส่วนน้อย
คุณศรุต มองว่า เวียดนามเป็นตลาดเกิดใหม่ที่กำลังโตเร็วเหมือนไทยสมัยก่อน และแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวม เพื่อกระจายความเสี่ยง
ส่วนจีน แม้มีความผันผวน แต่พัฒนาเร็ว และราคาหุ้นยังต่ำ จึงเป็นโอกาสสำหรับลงทุนระยะยาวได้
ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสอีกไหม ?
คุณศรุต มองว่าหุ้นไทย ขณะนี้ลงมาเยอะแล้ว และนี่อาจเป็นโอกาส
“เวลาจะได้ผลตอบแทนเยอะ ต้องซื้อในจุดที่ไม่มีใครอยากซื้อ”
คุณศรุตแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นดี ๆ โดยไม่ต้องพยายามจับจังหวะตลาด เพราะไม่มีใครรู้อนาคต
ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว หลักการที่คุณศรุตยึดไว้คือ "การกระจายความเสี่ยง"
เขายกตัวอย่าง Warren Buffett ที่แม้มั่นใจแค่ไหน ก็ไม่ทุ่มเกิน 40% ของพอร์ตในหุ้นตัวเดียว
แนวคิดนี้ถูกนำมาปรับใช้กับพอร์ตส่วนตัวของเขา
โดยกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ
เพื่อให้แม้เกิดวิกฤติในสินทรัพย์บางส่วน พอร์ตภาพรวมก็ยังอยู่รอดได้
นักลงทุนมือใหม่ควรทำอย่างไร ?
คุณศรุต แนะว่าถ้าเราอายุประมาณ 20 หรือพึ่งเริ่มทำงาน สามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้ เช่น หุ้น คริปโต เพราะมีโอกาสทำผลตอบแทนได้มาก
แต่ถ้าอายุ 30 เรามักจะนึกถึงความมั่นคง ความนิ่งของชีวิตมากขึ้น
จากประสบการณ์ของคุณศรุต มองว่าทุกคน ถ้าพอร์ตจะเติบโต ต้องผ่านความเจ็บปวด เพราะการขาดทุนเป็นเรื่องปกติ
วิกฤตมีอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าจะเล็ก หรือใหญ่ ถ้าหากตลาดตกลงมามากกว่า 20% ก็จะมองว่าวิกฤติ อย่างเช่น ช่วงโควิด
และคุณศรุต ยังชี้อีกว่า เนื่องจากวิกฤติเกิดขึ้นตลอดเวลา นักลงทุนมือใหม่อาจจะกลัว แต่สำหรับมือเก่าแล้ว นี่คือโอกาสในการลงทุน
โดยคุณศรุต แนะว่าให้บริหารเงินสดให้ดี แต่ส่วนตัวแล้วคุณศรุต มักจะถือเงินสดประมาณ 20-30% และมักจะถือทองคำ เพราะสภาพค่องดีมาก
ปัจจุบันมีเรื่องของการขึ้นภาษีจากทรัมป์ทำให้เศรษฐกิจผันผวน เราควรจัดพอร์ตอย่างไร ?
อย่างแรกที่สำคัญคือ เงินสด เพราะมองว่าคือโอกาส ในการซื้อของถูก
และชี้ว่าช่วงนี้ Warren Buffett ถือเงินสดเยอะเป็นประวัติการ อาจมองว่าจะมีวิกฤติหรือเปล่า
คุณศรุต แนะนำให้กระจายความเสี่ยง โดยใช้มุมมองแบบ Top-Down วิเคราะห์ภาพเศรษฐกิจก่อนวิเคราะห์หุ้นรายตัว และต้องเป็นหุ้นพื้นฐานดี จ่ายปันผลสม่ำเสมอ
ส่วนตลาดหุ้นไทยตกลงมาเยอะ ทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง จุดนี้ทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจ
แล้วแบ่งสัดส่วนหุ้นไทย และหุ้นนอก อย่างละกี่เปอร์เซ็น ?
คุณศรุต ย้ำว่า เงินสดต้องมีอยู่เสมอ 20-30% แล้วแต่จังหวะ
ส่วนหุ้น ถ้าเป็นตลาดอเมริกา จะเน้นเป็นหุ้นรายตัว แล้วถือยาว ส่วน Bitcoin ตอนนี้ไม่ได้ถือเยอะแล้ว
แนวคิดในการปั้นพอร์ต
คุณศรุต มองว่าการสร้างพอร์ตช่วงแรก ๆ เงินยังน้อย ให้ทำงาน แบ่งเงินเก็บออม ในช่วงนี้พอร์ตจะโตจากการเติมเงินซะมากกว่า
เมื่อพอร์ตเริ่มใหญ่ในระดับนึง ประมาณ 1 ล้านแรก เงินล้านถัดไปก็จะหาง่ายขึ้น จากการทบต้น
พอพอร์ตใหญ่ในระดับนึง ก็ต้องมีการกระจายไปในหลาย ๆ สินทรัพย์ เช่น หุ้น, ทองคำ หรือเงินสด, Option
แล้วเมื่อราคาหุ้นในพอร์ตปรับตัวขึ้นมาก จนสัดส่วนหุ้นสูงกว่าเงินสดมากเกินไป
คุณศรุตจะทยอยขายหุ้นบางส่วนออกมา เพื่อปรับสมดุลพอร์ตให้เงินสดกับหุ้นใกล้เคียงกันมากขึ้น
กลยุทธ์ซื้อแล้วถือ VS กลยุทธ์การซื้อแล้ว Hedge ในตลาดหุ้นไทย มีมุมมองอย่างไร ?
กลยุทธ์ซื้อแล้วถือ คุณศรุต มองว่าการซื้อหุ้นไทยในตอนนี้ต้องใช้เงินเย็น และสามารถถือในระยะยาวได้ 2-3 ปีเป็นอย่างต่ำ แต่นักลงทุนควรจะประเมินมูลค่าหุ้นได้
ส่วนวิธีการซื้อแล้ว Hedge คุณศรุต มองว่า เราต้องสวนกระแส ตลาดหุ้นไทยเมื่อก่อนอยู่ 1,800 ปัจจุบันอยู่ 1,100 จุด เราควรซื้อ เพราะเชื่อว่าหุ้นไทยจะกลับขึ้นไปได้
ส่วนตลาดหุ้นอเมริกา ทอง และ Bitcoin ขึ้นมาสูง ควรมองว่าอาจจะลงได้อีกเยอะ
คุณศรุต แนะนำว่าการซื้อแล้ว Hedge คือการล็อกมูลค่า พอถือแล้วมีกำไร เราควร Hedge เพื่อล็อกกำไรออกมา
1
แต่เราควรจะถือให้ได้กำไรก่อน ถึงจะสามารถ Hedge ได้
ยกตัวอย่างเช่น หุ้นไทยมูลค่า 1 ล้านบาท เราสามารถซื้อ TFEX ฝั่ง Short มูลค่าเท่ากันเพื่อ Hedge
ถ้าราคาหุ้นลง การที่เรา Hedge ไว้จะทำให้เรามีกำไรอีกขานึง ส่วนหุ้นที่ลงก็ไม่เป็นไร เพราะเราตั้งใจจะถือยาวอยู่แล้ว
ซึ่งกลยุทธ์นี้จะช่วยเรื่องสภาพจิตใจ เวลาเจอความผันผวน เพราะได้ล็อกกำไรออกมาแล้ว
มีอะไรที่เราควรติดตามหลังจากนี้ ?
คุณศรุต แนะนำเรื่องความเสี่ยงของ Bitcoin เนื่องจากขึ้นมาเยอะแล้ว โดยมองว่าทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ มักจะมีสินทรัพย์ใหม่แปลก ๆ เกิดขึ้นมา
เช่น การที่บริษัท MicroStrategy เอามูลค่าที่ได้กำไรจาก Bitcoin ที่ยัง Unrealized เพราะยังไม่ขาย เขาเอาสิ่งนี้ไปค้ำกับธนาคาร เพื่อกู้เงิน พอได้เงินกู้มา ก็เอาไปซื้อ Bitcoin เพิ่มอีก ซึ่งอาจจะเป็นต้นเหตุในวิกฤติที่กำลังจะมาถึง
คุณศรุต เตือนว่าที่ Bitcoin ตอนนี้ยังไม่มีปัญหา เป็นเพราะว่าราคายังขึ้นอยู่ แต่ถ้าวันนึงจบรอบ ราคาลง 70-80% แล้วบริษัทที่กู้มาซื้อ Bitcoin จะอยู่อย่างไร ?
และฝั่งหุ้น ควรติดตามอะไรเป็นพิเศษ ?
คุณศรุต แนะนำให้ติดตามเรื่องภาษีสหรัฐฯ เพราะถ้าขึ้นภาษีมาก อาจกระทบธุรกิจไทยโดยตรงได้..
โฆษณา