30 พ.ค. เวลา 15:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

นิ่งให้ร่ำรวยแบบ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’

เข้าใจ Norm Theory ทฤษฎีเบื้องหลังว่าการ “ขยับตามฝูงชน” ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป
🗓️ ในปี 2008 วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) หนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ได้วางเดิมพันกับวงการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ด้วยเงิน 1 ล้านดอลลาร์ เพื่อพิสูจน์ว่าการลงทุนแบบ Passive นั้นสามารถเอาชนะการลงทุนแบบ Active ได้
เหตุผลหลักๆ ในมุมมองของบัฟเฟตต์ก็คือว่าการลงทุนแบบเชิงรุกมักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป ซึ่งสำหรับนักลงทุนทั่วไปแล้วการลงทุนในกองทุนดัชนีจะให้ผลตอบแทนดีกว่า
โดยอีกฝั่งหนึ่งที่รับคำท้าคือ เท็ด ไซเดส (Ted Seides) ผู้ร่วมก่อตั้ง Protégé Partners (บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์และที่ปรึกษาด้านการลงทุน)
กติกาก็คือว่า บัฟเฟตต์จะใช้ผลตอบแทนของกองทุน Vanguard's S&P 500 Admiral fund (VFIAX) ซึ่งเป็นกองทุนดัชนีที่ล้อไปกับตลาด S&P500 ของอเมริกาในการแข่ง ส่วนไซเดสจะเลือกกองทุนเฮดจ์ฟันด์ 5 กองทุน (ไม่เปิดเผยชื่อ) แล้วดูว่าเมื่อครบกำหนดเวลาใครจะได้ผลตอบแทนมากกว่ากัน
ผู้ชนะจะได้เงินบริจาครางวัล 1 ล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรการกุศลตามที่ตนเลือกไว้
ระยะเวลาของการเดิมพันนี้คือ 10 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2008 ไปสิ้นสุดที่วันที่ 31 ธันวาคม 2017
เมื่อเวลาผ่านมาถึงช่วงกลางๆ ปี 2017 (ก่อนที่จะสิ้นสุดการแข่งขัน) ไซเดสก็ออกมายอมรับในบทความที่เขียนบนเว็บไซต์ Bloomberg ว่า “สำหรับความตั้งใจและจุดประสงค์ทั้งหมด เกมจบแล้ว ผมแพ้”
ผลลัพธ์ (2008-2017) ออกมาคล้ายหนังสั้นตลกร้าย
กองดัชนีโต ≈ 126 % ขณะที่กองเฮดจ์ฟันด์รวมโตแค่ ≈ 36 % หรือแพ้เกือบ 4 เท่า
เงินทั้งหมดถูกมอบให้ Girls Inc. of Omaha (มูลนิธิไม่หวังผลกำไรที่บัฟเฟตต์เลือกบริจาคเงิน)
[อ่านเรื่องราวของการเดิมพันครั้งนี้แบบเต็มๆ ได้ในลิงก์อ้างอิงนะครับ]
ในโลกการเงินที่ทุกอย่างกระตุ้นให้ลงมือทำ เคลื่อนไหว จัดการ สับเปลี่ยน อยู่ตลอดเวลา เหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนได้กลับมาทบทวนที่จริงแล้วว่า “ความนิ่ง” อาจจะเป็นเคล็ดลับสู่ความร่ำรวยที่เราทุกคนต้องการ (และทำได้) จริงๆ ก็ได้
❓จึงเกิดเป็นคำถามว่าแล้วทำไม นักลงทุนหลายคนไม่ซื้อกองทุนดัชนี S&P500 แล้วอยู่นิ่งๆ เหมือนอย่างบัฟเฟตต์บ้าง?
🤯 เหตุผลเบื้องหลังคือสิ่งที่ แดเนียล คาห์เนแมน (Daniel Kahneman) เป็นนักจิตวิทยา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2002 และผู้บุกเบิกเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เรียกว่า ‘Norm Theory’ หรือ ‘ทฤษฎีบรรทัดฐาน’
1
โดยหลักการก็คือว่ามนุษย์เรายอมที่จะทำอะไรที่ ‘ดูเหมือนคนอื่นๆ’ มากกว่าที่ยอมแตกต่างจากบรรทัดฐาน (ความคาดหวัง) ของสังคม แม้จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีก็ตาม
ในโลกการลงทุนที่ข่าวอัปเดตรายวินาที การนั่งเฉยๆ ดูเหมือนจะเป็นคนขี้เกียจและไม่ทำอะไรเลย ถ้าเป็นนักลงทุนควรต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง (ปรับพอร์ตต่างๆนานา) แม้ผลระยะยาวคือการซื้อแล้วถือหุ้น (หรือดัชนี) ที่ดีนั้นให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากว่านั่นเอง
🛒 ลองยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งอย่าง Flash Sale ที่เด้งขึ้นมาทุกวันเลขคู่—8.8, 9.9, จน 11.11
รายงานจาก Maersk (เมอส์ก) บริษัทการขนส่งและโลจิสติกส์สัญชาติเดนมาร์กที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผยว่ายอดขายอีคอมเมิร์ซ SEA ปี 2023 แตะ 139,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งปั่นด้วย “มหกรรมวันคู่” เหล่านี้ และคาดว่า 2025 จะแตะ 186,000 ล้านดอลลาร์
ในรายงานจาก Think with Google ชี้ว่า “คนไทยจำนวนมากพร้อมจ่ายเงินมากขึ้นเพราะอีเวนต์ 11.11” ซึ่งกระตุ้นให้คนซื้อด้วยอารมณ์ชั่ววูบมากขึ้น (Impulse Deals)
หากเราอยู่วันเลขคู่แล้วแล้วกดซื้อของ ทั้งที่ไม่ตั้งใจซื้อมาก่อน
มันคือการทำงานของ Norm Theory + FOMO อย่างเต็มๆ
เรารู้สึก FOMO เพราะคิดว่าถ้าไม่ซื้อจะพลาด และถ้าไม่กดดีลวันคู่จะรู้สึกแย่เพราะ “ทุกคนก็ซื้อ” กันทั้งนั้นเลย สิ่งนี้กลายเป็นบรรทัดฐานบางอย่างที่เกิดขึ้น การ “อยู่เฉย” จึงดูผิดปกติ — เหมือนบัฟเฟตต์ที่นั่งนิ่งๆ ไม่ทำอะไรนั่นแหละครับ
แต่อย่างที่เห็น ถ้าเรารู้ว่าการอยู่นิ่งๆ แล้วเงินในกระเป๋าไม่หาย เราก็ควรจะทำแบบนั้น
🎯 [ แล้วจะแก้ยังไงดี? ]
ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger) คู่หูผู้ล่วงลับของบัฟเฟตต์และตำนานนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกเคยบอกไว้ว่า “เงินก้อนใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่การซื้อหรือการขาย แต่เป็นการรอ”
การวิ่งตามตลาด หรือ ทำตามความคาดหวังของโลกนั้นไม่ได้ดีเสมอไป
อยากร่ำรวย ต้องนิ่งให้เป็น
- ก่อนจะซื้อขายหุ้นลองวางแผนอย่างชัดเจนว่าจะทำอะไร สร้างบรรทัดฐานใหม่ของตัวเองขึ้นมาเพื่อกำหนดการตัดสินใจตั้งแต่ต้นเพื่อกรองเสียงข่าวและความวุ่นวายในตลาดออกไป
- ลงทุนอย่างสม่ำเสมอผ่านการ DCA ในกองทุนดัชนี หรือหุ้นที่คัดมาแล้ว แทนที่จะต้องมาตัดสินใจอยู่เป็นประจำก็ช่วยลดความเครียดได้
- ทุกครั้งที่พลาดให้บันทึกการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอย่างมีสติเพื่อเรียนรู้สำหรับการตัดสินใจครั้งต่อไป
- ถ้าอยากสนุกกับ 11.11 ให้กันงบล่วงหน้า 2-3 เดือน เช่น 5 % ของรายได้ แล้วจบทันทีที่ใช้ครบ
บัฟเฟตต์ไม่แค่ชนะพนัน 10 ปี เขาแสดงให้เห็นว่าการลงทุนและการใช้เงิน ‘ไม่ใช่’ กีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ใครหมุนควงตัวมากสุดคือผู้ชนะ มันคือเกมยาวที่รางวัลไปตกใส่ “คนที่ไม่ตื่นตระหนกตกใจง่าย”
ทฤษฎีนี้อาจจะใช้อธิบายคำกล่าวคลาสสิกอีกอันของบัฟเฟตต์ที่บอกว่า “จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว และกลัวเมื่อคนอื่นกล้า” ก็ได้เช่นกัน เพราะเขามีบรรทัดฐานของการลงทุนของตัวเองที่ไม่วิ่งตามสิ่งที่ตลาดกำลังทำ (หรือคาดหวัง)
Norm Theory บ่งบอกว่าคนจะรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่มากกว่าที่จะตัดสินใจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
บางครั้งเลือกให้ถูกแต่แรกแล้วซื้อเติมตามแผนที่วางเอาไว้ “ปล่อยพอร์ตนิ่งๆ” อาจไม่หวือหวา แต่ถ้าวัดด้วยเวลายาว ๆ ความนิ่งนั้นอาจจะดังพอจะกลบเสียงดังในตลาดที่เชียร์ให้ซื้อขายกันทุกวี่ทุกวันก็ได้
#aomMONEY #MakeRichGeneration #NormTheory #การลงทุน #WarrenBuffett #แนวทางการลงทุน
โฆษณา