31 พ.ค. เวลา 01:00 • ประวัติศาสตร์

การปิดล้อมเยรูซาเล็มเมื่อสองพันปีที่แล้ว นำมาสู่การเกิดประเทศอิสราเอลในปัจจุบันได้ยังไง ?

วันนี้เมื่อสองพันปีที่แล้วมีเหตุการณ์เล็กๆ ที่ดูไร้สาระแต่ลุกลามจนเปลียนประวัติศาสตร์โลกมาจนถึงทุกวันนี้
เหตุการณ์นั้น ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อว่า Siege of Jerusalem 70 AD หรือการปิดล้อมกรุงเยรูซาเล็ม และการถูกทำลายครั้งที่สองของ วิหารแห่งกรุงเยรูซาเล็ม (the Second Temple of Jerusalem)
เหตุการณ์เมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้วมันฟังดูไกลตัวใช่ไหมครับ แต่เรื่องที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังวันนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของโลก และถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความโหยหา 'การกลับสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา' ในหมู่ชาวยิว ซึ่งฝังลึกในวัฒนธรรม ความเชื่อ และพิธีกรรม และกลายเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณที่นำมาสู่แนวคิดไซออนนิสม์ (Zionism) และการก่อตั้งรัฐอิสราเอลในเวลาต่อมา
ก่อนที่จะไปเล่าเกี่ยวกับการปิดล้อม ผมขอเริ่มต้นด้วยการบรรยายให้พอเห็นภาพว่า ในช่วงเวลาที่เราคุยถึงนั้นใครเป็นใคร และเกี่ยวข้องกันยังไงบ้าง
เริ่มจากฝั่งจักรวรรดิโรมันก่อน ช่วงเวลานั้นโรมันเป็นจักรวรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ปกครองด้วยจักรพรรดิเวสปาเซียน (Vespasian) และลูกชายไททัส (Titus) แล้วเพราะความที่โรมันมีขนาดใหญ่มาก ทำให้”ความเป็นระเบียบ" เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะต้องการเสถียรภาพ ต้องการเก็บภาษี หากปล่อยให้พื้นที่ใดไม่ทำตามกฎได้ จังหวัดหรือพื้นที่อื่นๆ อาจจะเห็นเป็นตัวอย่างแล้วลองต่อต้านบ้าง แล้วหนึ่งในพื้นที่ซึ่งโรมันปกครองคือ ยูเดีย (Judia ที่ชาวยิวอาศัยอยู่)
มาดูทางฝั่งชาวยิวกันบ้าง
ในเวลานั้นชาวยิวอยู่ภายใต้การปกครองของโรมันมานานประมาณ 130 ปีแล้ว ช่วงแรกชาวโรมันให้ชาวยิวมีกษัตริย์ของตัวเอง แต่ต่อมาก็ผนวกดินแดนยูเดียเข้าเป็นจังหวัดหนึ่งของโรมันไปเลย
ในกลุ่มของชาวยิวก็มีมุมมองต่อโรมันแตกต่างกันไป บางส่วนก็มองว่า ต้องการสันติภาพไม่อยากไปต่อสู้กับโรมัน ยอมเสียภาษี ยอมทำตามกฎหมายแค่ขอได้อิสรภาพในการนับถือศาสนา และรักษาอัตลักษณ์ของชาวยิวไว้ ซึ่งโรมันก็ปล่อยประมาณนึง
ชาวยิวอีกส่วนเป็นกลุ่มหัวรุนแรงเรียกว่า Zealots ซึ่งไม่ต้องการให้ต่างชาติมาปกครองบนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อว่าพระเจ้าเท่านั้นที่ควรเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ไม่ใช่จักรพรรดิโรมัน จึงพยายามจะขับไล่โรมันและฟื้นฟูอาณาจักรยิวอย่างในสมัยกษัตริย์ดาวิด (King David)
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ชาวยิวจึงพยายามลุกขึ้นมาต่อต้านและโดนปราบซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายสิบครั้งในช่วงร้อยกว่าปี หรืออาจจะมองว่า ความต้องการต่อต้านโรมันสะสมมานานแล้ว
จนกระทั่ง วันหนึ่งในปีค.ศ. 66
เรื่องราวมันเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์เล็กๆ ที่เมืองชื่อ ซีซารเรีย (Caesarea) ซึ่งมีชาวยิวกับชาวกรีกอาศัยอยู่ปนกัน วันหนึ่งขณะที่ชาวยิวกำลังทำพิธีกรรมทางศาสนาบนถนนหน้า Synagogue ก็มีชาวกรีกเดินผ่านเข้าไปกลางพิธี แล้วทั้งสองฝ่ายก็เถียงกัน ชาวกรีกบอกว่า ถนนเส้นนั้นเป็นของสาธารณะ เขามีสิทธิ์เดินผ่านได้ แม้จะเป็นวันเสาร์ที่ชาวยิวประกอบพิธีกรรม แต่ชาวยิวบอกว่า การเดินผ่านในขณะที่กำลังอธิษฐาน มันรบกวนและไม่เคารพศาสนา แล้วเรื่องก็ไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นชาวโรมัน
แต่แทนที่จะแก้ปัญหาอย่างยุติธรรมเจ้าหน้าที่โรมันกลับรับสินบนจากชาวกรีก และตัดสินให้ชาวกรีกเป็นฝ่ายชนะ และแย่กว่านั้นคือ เจ้าหน้าที่โรมันประกาศว่า ซีซาเรียเป็นเมืองกรีก ไม่ใช่เมืองยิว ดังนั้นชาวยิวไม่มีสิทธิพิเศษอะไร
ชาวยิวจึงรู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะในสายตาของชาวโรมันจะรู้สึกว่า ชาวกรีกมีอารยธรรมที่สูงส่งกว่า
ไม่นานนักชาวยิวในซีซาเรียก็เริ่มชุมนุมประท้วงอีกครั้ง แต่แทนที่เจ้าหน้าที่โรมันจะหาวิธีไกล่เกลี่ย กลับใช้กำลังปราบปราม มีการจับกุม และมีคนเจ็บตาย
ข่าวของเหตุการณ์นี้ถูกเล่าปากต่อปากจนแพร่ไปทั่วแคว้นยูเดีย ชาวยิวอื่นๆ ก็เริ่มรู้สึกว่า ถ้าโรมันทำกับชาวยิวในซีซาเรียได้ ก็อาจทำกับพวกเขาได้เหมือนกัน กลุ่มหัวรุนแรง Zealot ก็เห็นว่านี่เป็นโอกาสจึงรีบปลุกระดม ให้ชาวยิวลุกฮือขึ้นต่อสู้
เรื่องราวนี้บานปลายไปจนถึงหูจักรพรรดิ์เวสปาเชียน (Vespasian) จึงส่งลูกชายคือ ไททัส (Titus) มาจัดการเรื่องนี้ ซึ่งไททัส ก็ยินดีที่จะได้มาพิสูจน์ตัวเองและสร้างชื่อเสียงเพื่อเตรียมตัวขึ้นเป็นจักรพรรดิ์ต่อในอนาคต จึงตั้งใจว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดอย่างรวดเร็ว
ฤดูใบไม้ผลิปีค.ศ. 70
ไททัสจึงเดินทางพร้อมกองทัพใหญ่กว่า 60,000 นาย และปิดล้อมเมืองเยรูซาเลมซึ่งอยู่บนเนินเขาและมีกำแพงหลายชั้น ส่วนชาวยิวในเมืองทั้งหมดรวมกันทั้งทหารและชาวบ้านประมาร​ห้าแสนถึงหนึ่งล้านคน แต่ปรากฎว่า เมื่อมีแรงกดดันจากภายนอกชาวยิวที่มีความเห็นทางการเมืองต่างกันก็เริ่มต่อสู้ฆ่าฟันกันเอง ชาวยิวบางส่วนต้องการให้ยอมแพ้ต่อโรมันเพราะเชื่อว่ายังไงก็ไม่มีทางสู้ได้ แต่ชาวยิวกลุ่มหัวรุนแรงก็ไม่ยอม แล้วยังทำลายเสบียงของตัวเองเหมือนเป็นการทุบหม้อข้าวแล้วออกไปสู้ตายกับทหารโรมัน
การปิดล้อมเป็นไปอยู่หลายเดือน แล้วก็เหมือนหลายครั้งในประวัติศาสตร์เมื่อเมืองโดนปิดล้อม ผู้คนอยู่กันอย่างแออัด ความอดอยาก และโรคระบาดก็ตามมา มีการบรรยายว่า ผู้คนหิวโหยจนถึงกับมีแม่ที่กินลูกตัวเองเพื่อความอยู่รอด
แต่ความพยายามต่อต้านนี้ สุดท้ายก็ไม่เป็นผล เพราะสุดท้ายโรมันก็สามารถบุกเข้ากำแพงมาได้ หลังจากนั้นก็เข่นฆ่าผู้คนมากมาย เป็นหลักแสนคน เพื่อให้เป็นตัวอย่าง
1
แล้วก็มีเหตุการณ์สำคัญอีกอย่างเกิดขึ้นอย่างที่ไม่น่าจะตั้งใจ นั่นก็คือ พระวิหารแห่งที่สองของกรุงเยรูซาเล็มถูกเผาจนพังทลายไปในกองเพลิง
พระวิหารที่สองแห่งเยรูซาเลมหรือ The Second Temple of Jerusalem นี้ไม่ใช่แค่สถานที่สักการะทางศาสนาธรรมดาๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น แต่มันคือทุกอย่างของชาวยิว เป็นทั้งศูนย์กลางพิธีกรรมทางศาสนา เศูนย์กลางของการปกครอง ศูนย์กลางของเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นการที่วิหารแห่งนี้ถูกเผาทำลายลง จึงมีผลต่อจิตใจของชาวยิวเป็นอย่างมาก
1
สำหรับการถูกเผานั้น เหตุผลไม่แน่ชัด เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่า Titus อยากจะเก็บวิหารนี้ไว้เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จเขา หรือ จริงๆ การเผาอาจจะตั้งใจเพื่อทำลายขวัญของชาวยิว เพราะสงครามครั้งนั้น กองทัพโรมันตั้งใจจะทำลายชาวยิวและเมืองให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้เกิดการกบฏขึ้นมาอีก วิหารจึงถูกเผา สมบัติถูกขโมย และชาวยิวที่เหลืออยู่ก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้กลับเข้าเมืองเยรูซาเล็ม
และเพราะสงครามครั้งนี้ ชาวยิวจำนวนมากจึงต้องหนีตาย หาที่อยู่ใหม่กระจัดกระจายไปตามดินแดนต่างๆ เช่น ซีเรีย ยุโรป หรือ ดินแดนอื่นๆ ของโรมัน
1
แต่เมืองเยรูซาเล็มก็ยังไม่ตาย แม้ว่าจะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เมืองนี้ก็อยู่ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ก่อนจะเกิดการกบฏขึ้นอีกรอบในปีค.ศ. 132 แล้วรอบนี้เมืองเยรูซาเล็มก็ถูกทำลายไปอย่างถาวร ชาวยิวถูกบังคับให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นๆ เพื่อจะลบล้างดินแดนของชาวยิวออกไปจากแผนที่ให้หมด ชื่อของดินแดยูเดีย (Judea) ก็ถูกเปลี่ยนเป็น Syria Palestina
คำถามคือ แล้วเหตุการณ์นี้มีผลต่อชาวยิวยังไงบ้าง ?
หลังจากนั้นมาชาวยิวก็ไม่เคยมีบ้านให้กลับไปอีก พวกเขาพลัดพรากจากดินแดนพันธสัญญา หรือดินแดนที่พระเจ้าของพวกเขาสัญญาว่ายกให้เป็นของพวกเขา ไปอาศัยอยู่ในดินแดนอื่น ๆ หรือที่เรียกว่า Diaspora
พวกเขาไม่มีวิหารที่เป็นศูนย์กลางทุกอย่างให้กลับไปอีกในความรู้สึกของพวกเขาคือ ต้องพลัดถิ่นไปเป็นเวลาเกือบ 2,000 ปี แล้วตลอดช่วงเวลานี้ ความรู้สึกโหยหาบ้านซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ Zion นี้ ก็ฝังรากลึกลงไปจนกลายเป็นวัฒธรรม เป็นอัตลักษณ์ของชาวยิว
และเพราะการที่วิหารถูกทำลายลง ศาสนายิวเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
ก่อนที่พระวิหารจะถูกทำลายเกือบจะทุกอย่างต้องมาทำที่วิหาร คือ ต้องมาที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่หลังจากไม่มีวิหาร ศาสนาก็ต้องปรับตัว ชาวยิวเน้นการศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้น รวมกลุ่มในธรรมศาลาซึ่งสร้างที่ไหนก็ได้มากขึ้น ทำให้ศาสนายูดาย เปลี่ยนจากศาสนาที่เน้นพิธีกรรมในพระวิหาร กลายเป็นศาสนาที่สามารถปฏิบัติที่ไหนก็ได้
1
แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมว่า ครั้งนึงพวกเขาเคยมีวิหารศักดิ์สิทธิ์ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้ามอบให้กับพวกเขา นั่นทำให้ การเล่าเรื่องราวของการพลัดพรากจาก zion เป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมของชาวยิวมาโดยตลอด
1
และสิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันสำคัญที่แนวคิด zionism ของชาวยิวยังคงอยู่มาได้ตลอด แม้ว่าบ้านเมืองของเขาจะถูกทำลายไปแล้วถึงเกือบสองพันปี
1
สุดท้ายในปีค.ศ. 1948 ปี รัฐอิสราเอลก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าในเวลานั้นจะมีคนอื่นมาอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้แล้วก็ตาม
1
ส่วนท้ายนี้ขอโฆษณาหนังสือหน่อยนะครับ ถ้าใครชอบเรื่องราวแนวความรู้แบบ นี้ อยากแนะนำให้อ่าน หนังสือที่ผมเขียนด้วย ปัจจุบันเขียนมาแล้ว 9 เล่ม สั่งซื้อหนังสือแบบร้านค้า official พิมพ์ค้นหา "Chatchapolbook" หรือกดที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
💚 Line My Shop : https://bit.ly/3FvsFav
โฆษณา