ท่าทีของรัฐบาลเปลี่ยนจากการเรียกร้องให้มีการควบคุม AI ไปสู่การสนับสนุนการพัฒนาอย่างเสรี โดยมองว่าการควบคุมมากเกินไปจะเป็นอุปสรรคต่อการเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ
🇨🇳 จีน: มุ่งมั่นพึ่งพาตนเอง ตั้งเป้าเป็นผู้นำ AI ภายใน
ปี 2030
จีนตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้าน AI ของโลกภายใน
ปี 2030 โดยคาดว่า AI จะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจถึง 600,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
แม้จะเผชิญกับข้อจำกัดด้านการส่งออกเทคโนโลยี
จากสหรัฐฯ แต่จีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยี AI
ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว เช่น ชิป AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยอาศัยทรัพยากรภายในประเทศ
จีนยังเป็นผู้นำในการใช้ AI ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยมีการนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มความแปลกใหม่และคุณภาพของงานวิจัย
▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️
🇪🇺 สหภาพยุโรป: เน้นการควบคุมและจริยธรรมของ AI
สหภาพยุโรปได้ออกกฎหมาย AI Act ซึ่งเป็นกฎหมายควบคุม AI ที่ครอบคลุมที่สุดในโลก โดยกำหนดให้
ผู้พัฒนา AI ต้องรับผิดชอบต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และต้องเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคของโมเดล AI
แม้จะมีการลงทุนใน AI เพิ่มขึ้น โดยในปี 2024 บริษัท AI ในยุโรปสามารถระดมทุนได้กว่า 13,000 ล้านดอลลาร์ แต่จำนวนโมเดล AI ที่พัฒนายังน้อยกว่าสหรัฐฯ และจีนอย่างมาก
➡️จีนมุ่งมั่นพึ่งพาตนเองและตั้งเป้าเป็นผู้นำด้าน AI ภายในปี 2030
➡️สหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับการควบคุม
และจริยธรรมของ AI เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน
การแข่งขันด้าน AI ของมหาอำนาจโลกไม่เพียงแต่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง แต่ยังสะท้อนถึงค่านิยมและแนวทางการพัฒนาที่แตกต่างกัน ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของเทคโนโลยี AI ทั่วโลก
🔗 แหล่งอ้างอิง
Forbes: China and AI in 2025
Wired: From 'Regulate Us' to 'Unleash Us'
WSJ: U.S. Plan to Hobble China Isn’t Working
Axios, Science Business, WTOP
📚 แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
Axios: The Great Fusing
Wired: How the Loudest Voices in AI Went From 'Regulate Us' to 'Unleash Us'
WSJ: The U.S. Plan to Hobble China Tech Isn't Working
Science Business: China leads EU and US on using artificial intelligence in science
WTOP: European Union AI regulation is both model and warning for U.S. lawmakers, experts say