31 พ.ค. เวลา 13:01 • นิยาย เรื่องสั้น

รักย้อนอดีตภาค 5 ภัยร้ายจากดาวหางฮัลเลย์

.
บทที่ 34 ทวาลาจอมตระบัดสัตย์
.
พัน "นอกจากธนู 10 ดอกของท่านแล้วมีอะไรอีกไหม"
.
ทวาลา "เพียงเท่านี้เจ้าก็ไม่น่ารอดแล้ว ระวัง"
.
ทันใดนั้นก็ปรากฎพลธนู 10 คนเรียงแถวหน้ากระดาน พาดสายธนูในลักษณะเตรียมพร้อม ทวาลาแสยะยิ้มก่อนสั่ง "ยิง"
.
ธนูทั้ง 10 ดอกพุ่งมาที่พันเป็นจุดเดียว หากพันหลบไม่ทันก็คงมีสภาพไม่ต่างจากเม่นตัวหนึ่ง หากหลบทันทหารแถวที่อยู่ด้านหลังก็ต้องรับเคราะห์อย่างน้อย10ราย เพราะกำลังแรงของลูกธนูอาจทะลุร่างของคนที่ยืนข้างหน้าไปถึงคนยืนข้างหลัง
.
พันจึงใช้ดาบเลเซอร์กวัดแกว่งทำลายลูกธนูทั้ง 10 จนหมด แต่สิ่งที่พันคาดไม่ถึงก็คือขวานยักษ์อีกด้ามของทวาลาที่ลอบทำร้าย ซึ่งหากมิใช่เซ็นเซอร์ที่จับภาพไว้ได้พันคงสิ้นท่า
.
ด้วยความรวดเร็วเกินคาด พันกระโดดตัวลอยเตะขวานข้ามหัวทวาลาไปปักตรึงอยู่บนคานเหนือศีรษะและพร้อมกับร่างของพันที่ลอยกลางอากาศดาบเลเซอร์พุ่งเข้าทำลายโคตรเพชรที่ยังไม่เจียรนัยบนหน้าผาก
.
หยุดอยู่เพียงแค่นั้นพร้อมด้วยร่างที่ลอยค้างกลางอากาศและเสียงเหี้ยมเกรียมของพัน "ทวาลา ถ้าท่านยังมีลูกไม้อีก ครั้งหน้าดาบของข้าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้เท่านั้นจำไว้"
.
ทวาลาเงียบกริบขณะเดียวกันร่างที่เหี่ยวย่นคล้ายลิงคืบคลานออกมาร่มเงาของกระท่อม มันคืบคลานโดยใช้ทั้งมือทั้งเท้า แต่เมื่อมาถึงยังที่นั่งของทวาลา มัน
ลุกขึ้นยืนบนเท้าทั้ง2ของมัน
.
เหวี่ยงผ้าคลุมขนสัตว์ออกเผยให้เห็นใบหน้าสุดประหลาดน่าขนลุก เห็นได้ชัดว่าเป็นใบหน้าของหญิงที่อายุมาก ๆ เพราะหน้าหดเล็กไม่โตกว่าเด็ก 1 ขวบ แต่มีรอยเหี่ยวย่นลึกสีเหลืองอยู่มากมาย
.
ส่วนหนึ่งของรอยเหี่ยวย่นแยกออกเป็นร่องลึกแสดงให้เห็นว่าเป็นปาก ใต้ลงมาคางแหลมจนยื่นออกมาไม่มีส่วนใดพอจะบอกได้ว่าเป็นจมูก ที่จริงแล้วใบหน้านี้ควรเป็นใบหน้าของซากศพแห้งถ้าไม่มีดวงตาดำคู่โต
.
ดวงตาที่มีประกายโชติช่วงและแววของความฉลาดวาววับอยู่ใต้ขนคิ้วขาวราวหิมะ กะโหลกสีหนังเป็นปุ่มยื่นออกมาคล้ายอัญมณีในตู้เก็บซากศพ
ส่วนหัวล้านเตียนเกลี้ยงมีสีเหลือง ขณะที่หนังหัวเหี่ยวย่นเคลื่อนไหวและหดตัวดูคล้ายแม่เบี้ยของงูเห่า
.
มันยื่นมือที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกและเล็บยาว 1 นิ้ววางบนไหล่ของทวาลา เริ่มต้นพูดด้วยเสียงแหลมเล็กแสบหู "จงฟัง โอ ราชัน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต้องตาย สิ่งที่ตายแล้วจะกลับมีชีวิตอีก ข้าขอพยากรณ์"
.
ถ้อยคำเงียบหายไปพร้อมเสียงคร่ำครวญ ความกลัวเข้าไปจับในใจของทุกคนที่ได้ยินรวมทั้งคณะที่มาจากต่างแดน หญิงชราคนนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
.
"เลือด ๆ ๆ แม่น้ำเลือด เลือดเต็มไปหมดทุกแห่ง ข้าเห็นมัน ข้าได้กลิ่นมัน ข้าได้ลิ้มรสมัน มันเค็มเหมือนเกลือ ไหลแดงฉานไปเหนือพื้น หลั่งลงมาเหมือนฝนจากฟากฟ้า
.
เท้าย่ำไป เท้าย่ำไป เท้าย่ำไป ก้าวย่างของผู้มาจากแดนไกล มันสั่นสะเทือนแผ่นดิน ผืนแผ่นดินสั่นไหวเบื้องหน้าของเจ้านาย
เลิอดคือสิ่งที่ดี สีของมันสว่างไสว ไม่มีกลิ่นใดดีเท่ากลิ่นของเลือดที่หลั่งออกมาใหม่ๆ
.
ข้าแก่แล้ว ข้าแก่แล้ว ข้าเห็นเลือดมามากมาย ฮ่าๆๆ แต่ข้าจะได้เห็นอีกมากก่อนตาย และได้ร่วมรื่นเริงกับมัน ข้าอายุเท่าใดแล้วพวกเจ้าลองคิดดู พ่อของพ่อของพ่อของพ่อของพ่อพวกเจ้ารู้จักข้า
.
ข้าอายุมากแล้วแต่ขุนเขาอายุมากกว่าข้า ใครสร้างถนนใหญ่บอกข้าซิ ใครก่อตั้งภูเขา 3 แม่มด พวกเจ้าไม่รู้แต่ข้ารู้ คนต่างถิ่นที่เป็นผู้วิเศษ หินที่ประกายสุกใสเคยคาดหน้าผากทวาลาไว้คืออะไร
.
ส่วนพวกเจ้าผู้วิเศษมาตามหาคนขาวจากที่ที่พวกเจ้ามา จะไม่พบคนสาบสูญที่นี่ ที่นี่ไม่มีคนขาวย่างเท้าเข้ามานานแล้ว นอกจากครั้งเดียว แต่มันกลับไปพร้อมกับความตาย
.
พวกเจ้าผู้วิเศษมาหาหินสวยใส ข้ารู้ดี เจ้าจะได้พบมันเมื่อเลือดที่หลั่งนองเหือดแห้งแล้ว แต่พวกเจ้าจะมีโอกาสกลับคืนดินแดนที่จากมาหรือตายอยู่กับข้า ฮ่าๆๆ"
.
แล้วนางชี้นิ้วที่มีแต่กระดูกไปที่อัมโบโป "และเจ้าผู้มีสีผิวดำท่าท่างหยิ่งผยอง เจ้าเป็นใคร ต้องการสิ่งใด คงไม่ใช่หินสวยใสและโลหะสีเหลือง ข้าคิดว่ารู้จักเจ้า และได้กลิ่นของคาวเลือดจากหัวใจเจ้า ปลดผ้าพันกายเจ้าออกเดุี๋ยวนี้"
.
พันยืนในท่าเตรียมพร้อม "เจ้าไม่มีสิทธิ์สั่งพวกเราซึ่งเป็นผู้วิเศษ และ เป็นผู้มาเยือนนครลู นางเฒ่า"
.
ถึงตอนนี้ร่างของสัตว์สุดประหลาดสั่นสะท้านไปทั้งตัวแล้วฟุบลงกับพื้นน้ำลายฟูมปาก เหมือนอาการชักของคนที่เป็นลมบ้าหมูจึงถูกหามเข้าไปในกระท่อม
.
ทวาลาสั่นสะท้านไปทั้งตัวแล้วโบกมือให้กองทหารถอยออกไป เหลือเพียงคนใกล้ชิดและผู้มาเยือน "ข้ารู้สึกวูบในใจอยากฆ่าพวกเจ้าตั้งแต่เจ้าตัวเล็กข่มขู่ข้า
แล้ว แถมกาก้าพูดถ้อยคำแปลกๆ จะว่าอย่างไร"
.
ลุงหัวเราะ "อย่าแม้แต่คิดทวาลา ท่านฆ่าเราไม่ได้ง่ายๆ ในขณะที่เราหากคิดฆ่าท่านง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก พันได้แสดงให้ท่านเห็นแล้ว"
.
ทวาลานิ่งเงียบไปสักครู่ "ตอนนี้จงไปอย่างสันติ คืนนี้จะมีงานฉลองเชิญท่านมาร่วมงาน ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะวางกับดัก พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่"
.
"ดีมากทวาลา" ลุงตอบทำเป็นไม่แยแสและพร้อมกับทุกคนรวมทั้งอินฟาดูสเดินกลับที่พัก
.
จบบทที่ 34 ภาพปกแชร์จากเก้ากระบี่เดียวดาย ไม่ใช่ภาพวาดแต่เป็น หวงซาน(เขาหวงซาน)
เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลอันฮุย ทางตะวันออกของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีชื่อเสียงมาจากทิวทัศน์ที่งดงามของยอดเขาหินแกรนิต และ ต้นสนที่มีรูปร่างแปลกตา
โฆษณา