1 มิ.ย. เวลา 10:00 • ท่องเที่ยว

แก้ความเชื่อมันนักท่องเที่ยวจีนไม่ถูกที่คัน ก็ไม่หาย

📍 วิเคราะห์เชิงลึก: “แก้ไม่ถูกจุด” และข้อเสนอที่น่าจะได้ผลจริง
---
1. ✅ ปัญหาหลัก: ความไม่มั่นใจในความปลอดภัย
หลังจากเหตุการณ์รุนแรงหลายครั้ง (เช่น กรณีกราดยิง, คดีนักท่องเที่ยวถูกหลอก, หายตัว, ถูกปล้น/เรียกสินบน ฯลฯ)
→ สร้างภาพจำในกลุ่มคนจีนว่า “ไทยไม่ปลอดภัย”
โดยเฉพาะกลุ่ม middle class ที่เดินทางด้วยตนเอง ไม่มากับกรุ๊ปทัวร์ พวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่อง “การตามตัว-ช่วยเหลือยามฉุกเฉิน” อย่างมาก
---
2. ❌ สิ่งที่รัฐไทยทำ: เน้นสร้างPR แต่ไม่สร้างระบบ
พอสถานการณ์ท่องเที่ยวตกต่ำ กลับทุ่มงบกับ สื่อสารประชาสัมพันธ์ เช่น สโลแกน, วิดีโอ, งานต้อนรับ
แต่ละเรื่องที่นักท่องเที่ยวจีนกังวล เช่น
❌ ไม่มีสายด่วนภาษาจีน 24 ชั่วโมง
❌ ไม่มีระบบ tracking หรือ emergency alert สำหรับนักท่องเที่ยว
❌ ไม่มี “บัตรประกันภัยขั้นต่ำ” แบบที่ญี่ปุ่นหรือยุโรปมี
มันเลยกลายเป็น แค่การ “เชื้อเชิญ” ไม่ใช่การ “รับผิดชอบ”
---
3. ✅ สิ่งที่ควรทำ: สร้าง “ความเชื่อมั่นเป็นรูปธรรม”
→ เปลี่ยนจาก "ดึงดูด" มาเป็น "ดูแล"
แนวทางที่เป็นรูปธรรม เช่น:
🔒 ประกันภัยนักท่องเที่ยวแบบบังคับ/สมัครเสริมได้ง่าย (ราคาถูกแต่ครอบคลุมการรักษา/อุบัติเหตุ/หายตัว)
📱 App Emergency Tourist Help มี GPS, แจ้งเหตุฉุกเฉิน, แปลภาษาอัตโนมัติ
🚨 ทีม SOS Tourist Response ในเมืองหลัก เช่น กรุงเทพ เชียงใหม่ ภูเก็ต
📋 ความร่วมมือกับโรงแรม/แท็กซี่/ตำรวจท่องเที่ยว โดยมีการอบรม และระบบรีวิว/ร้องเรียนได้จริง
🧾 บัตรนักท่องเที่ยวแบบมี QR ที่สแกนได้ว่าพักที่ไหน มี contact คนประสานงานท้องถิ่น
---
4. 📉 ความน่าเชื่อถือลดลงจากการ "เน้นหน้าไม่เน้นเนื้อ"
การใช้สื่อหรือแคมเปญคำพูดแบบ “สวัสดี หนีห่าว” หรือ “ยิ้มสยาม” ไม่ช่วยเลย ถ้าข่าวที่คนจีนได้อ่านคือ “เพื่อนหาย” หรือ “หลอกให้ซื้อของแพง”
มันทำให้ภาพของรัฐบาลไทยเหมือน “เอาใจแบบผิวเผิน” แต่ไม่เข้าใจจุดที่คนกลัวจริง
แถมยังอาจยิ่งไปตอกย้ำ stereotype ของไทยว่า “ร่าเริงแต่ไม่รับผิดชอบ”
---
🧠 สรุปแนวคิด:
คนจีนไม่ใช่ไม่รักเมืองไทย แต่เขาไม่กล้าเสี่ยงกับสิ่งที่รัฐบาลยังควบคุมไม่ได้ ถ้ารัฐบาลไทยอยากให้คนจีนกลับมา ควร “รับประกันความปลอดภัย” ไม่ใช่ “ขายฝันและรอยยิ้ม”
🧯 วิเคราะห์ปัญหาแท็กซี่โกง: มากกว่าแค่ “ไม่กดมิเตอร์”
---
1. 🚖 แท็กซี่โกงไม่ใช่แค่ “คนไม่ดี” แต่คือ “ระบบแชร์ลูกโซ่”
คนขับแท็กซี่บางกลุ่มต้อง เช่ารถในราคาสูง, ต้องจ่าย “ค่าคุ้มครอง” หรือค่าที่จอด-ค่าหัวคิว→ หากไม่ยอมจ่ายก็ไม่มีพื้นที่ทำกิน
บางพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น สนามบิน ห้างใหญ่ ท่าเรือ มีระบบ “มาเฟียท้องถิ่น” ที่เก็บส่วย→ คนขับจำใจต้องโกงผู้โดยสารเพราะต้นทุนชีวิตมันสูง
2. 🧑‍✈️ ปัญหาส่วยตำรวจกับระบบอุปถัมภ์
ตำรวจบางนายในระดับปฏิบัติการก็ โดนบีบให้ส่งเงินขึ้นบน (เรียกว่า "แชร์ขึ้นบน")→ จึงต้องเพิกเฉยหรือแม้แต่ “หาประโยชน์ร่วม” กับแท็กซี่หรือขนส่งท้องถิ่น
ความเชื่อมโยงเชิงผลประโยชน์แบบนี้ ทำให้ไม่มีใครกล้าแตะ แม้ประชาชนจะร้องเรียนก็ “หายเข้ากลีบเมฆ”
---
3. ❌ ส่งผลกระทบภาพลักษณ์ประเทศอย่างหนัก
นักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น และยุโรปที่เจอแท็กซี่โกง จะนำเรื่องไปโพสต์ใน Weibo, Twitter, Reddit, Tripadvisor ฯลฯ
ทำให้ภาพของ “Thailand = Smile?” กลายเป็น “Thailand = Scam?”
พอนักท่องเที่ยวหดหาย → รายได้เข้าประเทศลดลง → คนหาเช้ากินค่ำเสียโอกาส แต่ “พวกกินส่วย” ไม่กระทบ
4. ✅ แนวทางแก้ที่ควรเป็น เชิงระบบ ไม่ใช่เชิงโชว์
❌ แก้แบบไม่โรยผักชี เช่น ตั้งจุดรับเรื่องร้องเรียนที่ไม่มีอำนาจจริง
✅ ต้องใช้วิธีแบบประเทศที่ทำสำเร็จ เช่น
Singapore – มีกล้อง+GPS บันทึกทุกเที่ยว ตรวจสอบย้อนหลังได้
Japan – แท็กซี่มีมาตรฐานการอบรม มีใบอนุญาตรายบุคคลที่ตรวจสอบได้
South Korea – แท็กซี่เชื่อมกับระบบแอป แสดงชื่อคนขับ หมายเลขทะเบียนและประวัติ
🧠 ข้อเสนอแบบตรงจุด:
ถ้ารัฐบาลไทยไม่กล้าแตะ “เจ้าของผลประโยชน์” ก็เท่ากับทิ้งนักท่องเที่ยวให้เผชิญโชคชะตาเอง การพัฒนาเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว ต้องเริ่มจากการกำจัดส่วย และ สร้างระบบรับผิดชอบจริง ไม่ใช่แค่ให้ยิ้มแล้วขอโทษเป็นพิธี ก็อย่าคาดหวังให้นักท่องเที่ยวจีนกลับมาเลย
โฆษณา