โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ประเมินว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอาจจะ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ภายในปี 2026 และ AI ก็คือหนึ่งในตัวการสำคัญ
ยิ่งไปกว่านั้น มีการวิเคราะห์ว่าการที่จีนอาจต้องพึ่งพาชิปประมวลผลรุ่นที่ด้อยกว่า (เนื่องจากมาตรการกีดกันของสหรัฐฯ) ก็อาจทำให้การประมวลผล AI มีประสิทธิภาพน้อยลง และส่งผลให้ต้นทุนพลังงานต่อการประมวลผลหนึ่งครั้ง (per inference) สูงขึ้นไปอีก ต้นทุนแฝงเหล่านี้แหละค่ัะที่กำลังกัดกินกำไรของบริษัท AI จีนอย่างเงียบๆ
4️⃣ ลูกค้าองค์กรจีน: "คิดแล้วคิดอีก" ก่อนจะจ่าย
แม้ว่า AI จะมีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจได้มหาศาล แต่บริษัทในจีนส่วนใหญ่ยังคงมีงบประมาณด้าน IT ค่อนข้างจำกัด (โดยเฉลี่ยประมาณ 2% ของรายได้ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่พอสมควร)
พวกเขามักจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และอาจลังเลที่จะลงทุนก้อนใหญ่ไปกับซอฟต์แวร์ AI หรือ API บนคลาวด์ หากยังไม่เห็นผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ชัดเจนและรวดเร็ว โดยทางด้านคุณ Martin Lau ประธานของ Tencent เองก็เคยยอมรับว่าตลาด Software-as-a-Service (SaaS) ในจีนยังไม่เติบโตและคึกคักเท่ากับในสหรัฐฯ ทำให้โอกาสในการขายโซลูชัน AI แบบสมัครสมาชิกให้กับองค์กรต่างๆ ยังมีจำกัด
ประเด็นนี้สำคัญมากค่ะ แม้จีนจะมีการยื่นจดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ AI จำนวนมหาศาล แต่ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครอง IP ในทางปฏิบัติยังคงเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายกังวล
ด้วยความแข็งแกร่งของระบบนิเวศ AI ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของ "Application Layer" (การนำ AI ไปประยุกต์ใช้งานจริง) ทำให้นักพัฒนาอเมริกันอยู่ในสถานะที่พร้อมจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความก้าวหน้าเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับความได้เปรียบของสหรัฐฯ ในด้านกำลังการประมวลผล (Compute Capacity) และการเข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่ล้ำสมัยที่สุด ก็ยิ่งทำให้พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากโมเดล Open-Source เหล่านี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งกว่าใคร
🌫️ความสำเร็จของ DeepSeek: ภาพลวงตาที่อาจบดบังปัญหาโครงสร้างเรื้อรังในระบบ AI จีน
แม้ความสำเร็จของ DeepSeek จะเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจกำลังสร้าง "ภาพลวงตา" ที่บดบังปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกอยู่ในระบบนิเวศ AI ของจีนมานานเช่นกันค่ะ ตั้งแต่
👉🏻 วิกฤตขาดแคลนบุคลากร AI คุณภาพสูง: แม้จะมีทีมงานเก่งๆ อย่าง DeepSeek แต่ภาพรวมของจีนยังคงเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อย่างหนัก รายงานจาก World Economic Forum ชี้ว่าจีนอาจขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มากถึง 5 ล้านคน
และความสำเร็จของดาวเด่นเพียงไม่กี่ดวง อาจทำให้หลงลืมความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างบุคลากร AI ที่มีความสามารถในการวิจัยขั้นพื้นฐานให้เพียงพอต่อความต้องการในระยะยาว
ในขณะที่สมรภูมิ AI ในจีนกำลังลุกเป็นไฟด้วยสงครามราคา บริษัท AI ชั้นนำของสหรัฐฯ อย่าง OpenAI, Microsoft, และ Google กลับดูเหมือนจะลอยตัวอยู่เหนือปัญหาเหล่านี้ได้อย่างน่าประหลาดใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขามี "เกราะกำบัง" ที่แข็งแกร่งหลายชั้นนั่นเองค่ะ
👉🏻 กำแพงการค้าและความหวาดระแวงที่ฝังลึก: ผลิตภัณฑ์ AI จากจีนถูกกีดกันและไม่ได้รับความไว้วางใจในตลาดตะวันตกมาเป็นเวลานานแล้ว หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ หลายแห่ง เช่น NASA, กระทรวงกลาโหม (Pentagon), และกองทัพเรือ ถึงกับมีคำสั่งห้ามใช้แอปพลิเคชัน DeepSeek บนอุปกรณ์ของทางการโดยเด็ดขาด เนื่องจากความกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว ถึงขั้นมีการผลักดันร่างกฎหมายที่ชื่อว่า "No DeepSeek on Government Devices Act" เพื่อแบนการใช้งานอย่างเป็นทางการ
โดยเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้จะถูกปรับให้สอดคล้องกับท่าทีที่เป็นทางการของจีน การเซ็นเซอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศนี้ ทำให้ AI ของจีนขาดความเป็นกลางและไม่น่าดึงดูดสำหรับการใช้งานในระดับสากลที่ต้องการความเปิดกว้างของข้อมูล
👉🏻 มาตรการกีดกันที่อาจเข้มข้นขึ้น: ความสำเร็จของ DeepSeek ในการพัฒนา AI คุณภาพสูงได้แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านการเข้าถึงชิปประมวลผลจากสหรัฐฯ อาจถูกตีความโดยผู้กำหนดนโยบายในสหรัฐฯ ว่าเป็นสัญญาณว่ามาตรการกีดกันที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ
1
และอาจกระตุ้นให้เกิดการออกมาตรการที่เข้มงวดและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ฮาร์ดแวร์ บุคลากร และการลงทุนของจีนให้รัดกุมยิ่งกว่าเดิม ดังที่กลุ่มวิเคราะห์ Rhodium Group ชี้ว่ากรอบนโยบายของสหรัฐฯ มีเป้าหมายที่จะจำกัดการเข้าถึงความสามารถในการประมวลผลขั้นสูงและโมเดล AI ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจีนอย่างเต็มรูปแบบ
🎯 สรุป... DeepSeek ดาวเด่นจรัสแสงที่อาจนำพา AI จีนสู่ทางตัน?
เมื่อพิจารณาจากทุกแง่มุมแล้ว แม้ว่า DeepSeek จะเป็นนวัตกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันน่าทึ่งของจีนในเวที AI โลก แต่กลยุทธ์การทุ่มตลาดด้วยราคาที่ถูกแสนถูกและการเปิดซอร์สโค้ดอย่างกว้างขวาง อาจกำลังสร้างผลกระทบเชิงลบในระยะยาวต่อระบบนิเวศ AI ของจีนเองอย่างคาดไม่ถึง
1
ทั้งในแง่ของความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่างๆ การสูญเสียความได้เปรียบจากทรัพย์สินทางปัญญาที่อุตส่าห์สั่งสมมา และการเบี่ยงเบนทิศทางการพัฒนา AI ของชาติไปสู่การแข่งขันด้านราคา มากกว่าการสร้างมูลค่าเพิ่มที่ยั่งยืน
ปล. อ่านบทความนี้จบแล้ว มีใครนึกถึงสงคราม EV กันบ้างไหมค่ะ อันนั้นเห็นภาพชัดมากว่า price war กำลังทำลายบริษัท EV จีนด้วยกันเองอย่างหนัก (จริงๆ ก็โดนทั่วโลก เพราะ EV จีนไม่ได้ถูกกีดกันหนักเท่า AI) ถ้าใครอยากอ่านเรื่องนี้ คอมเม้นมาบอกกันด้วยนะคะ