2 มิ.ย. เวลา 02:02 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“ร้านอาหาร-สตรีทฟู้ด”อ่วม! นักท่องเที่ยวหาย ต้นทุนพุ่ง กำลังซื้อซบ รายได้หด รีดภาษีเพิ่ม

วิกฤตหนัก “ร้านอาหาร-สตรีทฟู้ด” เจอพิษกำลังซื้อซบ – ต้นทุนพุ่ง – ภาษีเพิ่ม - นักท่องเที่ยวหาย รายได้หายไปกว่า 50% แนะผู้ประกอบการ ใช้เทคโนโลยีบริหารสต๊อกและต้นทุน สร้างเครือข่ายร่วมซื้อวัตถุดิบจำนวนมาก ชงภาครัฐออกมาตรการคุมต้นทุนสินค้าเกษตร สปีดโครงการร้านธงฟ้า ติดอาวุธรายย่อย
หลังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่า GDP ไทยในปี 2568 จะเติบโตเหลือ 1.8% แม้ว่าในไตรมาสหนึ่งจะรายงานว่าเติบโตได้ 3.1% ก็ตาม
2
แต่พบว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการในหลายภาคส่วนต่างได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ซบเซา ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มสูงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อรายได้ หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักเห็นจะหนีไม่พ้นผู้ประกอบการร้านอาหาร ในทุกระดับทั้งร้านอาหาร ภัตตาคารหรู ร้านอาหารห้องแถว สตรีทฟู้ด รวมไปถึงร้านรถเข็น
2
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และเจ้าของร้านอาหารในเครือสตีฟ คาเฟ่ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าการเติบโตของ GDP ที่ต่ำเพียง 1.8% นี้ถือว่าเป็นตัวเลขที่แย่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
โดยไทยแพ้เกือบทุกประเทศในกลุ่ม ยกเว้นเพียงเมียนมาเท่านั้น ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังมีปัญหาใหญ่ แต่กลับไม่มีท่าทีจากรัฐบาลที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาหรือช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารและธุรกิจอื่นๆ อย่างจริงจัง
เมื่อจีดีพีโตช้า ทำให้ภาพรวมกำลังซื้อของผู้บริโภคตกต่ำตามไปด้วย นั่นหมายความว่าคนมีเงินในมือให้น้อยลง และใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ร้านอาหารจึงได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะคนจะลดการกินนอกบ้าน หรือเลือกใช้จ่ายอย่างประหยัดมากขึ้น ในขณะที่ประเทศอื่นในอาเซียน เช่น อินโดนีเซียที่จีดีพีโต 6.8% ประชาชนมีกำลังซื้อสูงขึ้น
1
สำหรับไทยสถานการณ์นี้แปลว่าเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักอย่างการส่งออกและการท่องเที่ยวกำลังสะดุดอย่างหนัก ส่งผลให้รายได้ของผู้คนในประเทศลดลง กำลังซื้อหดตัว และแน่นอนว่าธุรกิจร้านอาหารต้องเผชิญกับความท้าทายจากยอดขายที่ลดลงเกือบครึ่งถึงขั้น “เจ๊ง”
“ทั้งหมดนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว จนกลายเป็นประเทศที่จีดีพีโตต่ำที่สุดในอาเซียน และไม่มีมาตรการรองรับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 104% ของรายได้ประชาชน
รัฐบาลดูเหมือนจะไม่อยากแก้ปัญหาจริงๆ หรือทีมเศรษฐกิจไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้กับประชาชน”
ธุรกิจร้านอาหารรับผลกระทบของเศรษฐกิจ แบ่งออกเป็น 4
นายสรเทพ กล่าวว่า ธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยตอนนี้ต้องเผชิญความท้าทายหนัก จากผลกระทบของเศรษฐกิจ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักตามลักษณะร้านและกลุ่มลูกค้า ได้แก่
1.Fine Dining (ร้านอาหารหรู ระดับสูง) เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เจ้าของร้านอาหารมิชลิน อย่าง Le Du (ฤดู) เล่าว่า กลุ่มลูกค้าหลักคือคนไทยรายได้สูงและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เคยเป็นครึ่งหนึ่งของลูกค้าแทบหายไปหมด คนไทยแม้มีเงินแต่ก็ระวังใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ร้านลดลงกว่า 50%
2.Casual Dining (ร้านอาหารนั่งทาน) กลุ่มลูกค้าระดับกลาง เช่น พนักงานออฟฟิศที่มีรายได้ปานกลาง เริ่มหันไปรับประทานอาหารในกลุ่มบุฟเฟ่ต์ราคาถูกลง เพราะต้องประหยัดค่าใช้จ่าย มีการใช้บัตรเครดิตเพื่อบริโภคล่วงหน้า แล้วผ่อนจ่ายในภายหลัง (เช่น หมุนบัตรเครดิตได้ 45 วันก่อนชำระ) ส่งผลให้ร้านอาหารที่รับบัตรเครดิตกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น
3.Street Food และ 4.Fast Food (ฟาสต์ฟู้ด) กลุ่มร้านอาหารริมถนนและ SME ขนาดเล็กกำลังเผชิญวิกฤติหนัก ร้านอาหารริมถนนซึ่งส่วนใหญ่เป็น Street Food กว่า 1 ล้านร้าน กำลังอยู่ในภาวะย่ำแย่ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยหนาแน่น เช่น บริเวณถนนข้าวสาร เขตพระนคร หายไปเกือบหมด
1
ทำให้รายได้ลดลงมาก ร้าน SME ขนาดเล็กตามย่านค้าขายอย่าง ย่านบรรทัดทอง ก็ได้รับผลกระทบรุนแรง ลูกค้าต่างชาติที่เคยคิดเป็น 70% ของลูกค้า หายไปเกือบหมด คนไทยที่เหลือ 30% ก็มีรายได้ลดลง ทำให้กำลังซื้อหดหาย ร้านอาหารเหล่านี้จึงประสบภาวะขาดทุนและล้มเลิกกิจการจำนวนมาก
“มาตรการรัฐบาลตอนนี้ มีแต่การเพิ่มภาษี เช่น การเก็บ VAT กับผู้ประกอบการที่ขายไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี หรือเก็บภาษีอื่นๆ ที่ไปซ้ำเติมคนที่กำลังลำบากอยู่แล้ว
ประกอบกับราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ยิ่งเหมือนกับเป็นการบีบคอคนที่ใกล้จะล้มให้ล้มเร็วยิ่งขึ้น”
ด้านนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า เหตุผลและกลไกที่ทำให้ราคาขึ้นบางทีเราอาจไม่ค่อยเห็นภาพชัด โดยสถานการณ์ราคาอาหารและวัตถุดิบที่ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องเจอในปัจจุบันคือราคาสินค้าเกษตรและวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เช่น ไข่ไก่ที่แต่ก่อนขึ้นทีละสลึงสองสลึง ตอนนี้ขึ้นทีละ 3 บาท และราคาขายปลีกก็สูงตามไปด้วย ร้านอาหารบางแห่งต้องจ่ายราคาไข่สูงถึงฟองละ 4 บาทขึ้นไป
ขณะที่เนื้อหมูราคาก็พุ่งสูงเกือบ 200 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาน้ำมันพืชก็พุ่งขึ้นเกือบ 3 เท่าจากอดีต เมื่อวัตถุดิบต้นทุนสูงขึ้น แต่กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง ผู้ประกอบการร้านอาหารจึงเผชิญกับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างหนัก แต่กลับไม่มีเครื่องมือหรือกลไกจากภาครัฐช่วยควบคุมราคา หรือสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรับมือสถานการณ์นี้ได้ดีขึ้น เหมือนในอดีตที่เคยมีโครงการ “ร้านธงฟ้า” หรือมาตรการช่วยลดต้นทุนบางส่วนให้ร้านอาหาร
คำแนะนำและทางออกสำหรับผู้ประกอบการ
1.ใช้เทคโนโลยีช่วยบริหารจัดการต้นทุน เช่น การใช้ระบบบริหารสต๊อกวัตถุดิบ เพื่อลดการสูญเสียและจัดซื้อให้คุ้มค่า ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เชื่อมโยงกับเกษตรกรหรือตลาดโดยตรง เพื่อซื้อวัตถุดิบราคาดีขึ้น
2.สร้างเครือข่ายร่วมกับผู้ประกอบการในพื้นที่ร่วมกันเจรจาซื้อวัตถุดิบในปริมาณมากเพื่อให้ได้ราคาที่ต่ำลง หรือแลกเปลี่ยนเมนูตามฤดูกาลที่วัตถุดิบราคาดี
1
3.ปรับเมนูและราคาขายอย่างเหมาะสม ลดเมนูที่ใช้วัตถุดิบราคาแพงในช่วงนี้ หรือปรับขนาดจานให้เหมาะสมกับกำลังซื้อผู้บริโภคโดยไม่ลดคุณภาพ
4.ติดตามข่าวสารและเข้าร่วมกลไกภาครัฐหากมีมาตรการช่วยเหลือ เช่น การพยุงราคาสินค้าเกษตร หรือโครงการสนับสนุนร้านอาหาร ควรติดตามข่าวสารและเข้าร่วมให้เต็มที่ เพื่อรับสิทธิ์และความช่วยเหลือ
ข้อเสนอแนะถึงภาครัฐคือ
1.ควรมีหน่วยงานระดับจังหวัดที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตเกษตรกร ผู้ค้าส่ง และผู้ประกอบการร้านอาหาร ให้เกิดการประสานงานและเทรดสินค้าเกษตรราคายุติธรรมอย่างต่อเนื่อง
2.รัฐบาลควรพิจารณามาตรการพยุงราคาวัตถุดิบในภาคเกษตร และควบคุมราคาไม่ให้พุ่งสูงจนส่งผลกระทบรุนแรงถึงผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
3.การสร้างมาตรการร้านอาหารราคาประหยัด (แบบ “ร้านธงฟ้า”) ที่ยังคงช่วยลดภาระต้นทุนวัตถุดิบควรกลับมาอีกครั้ง เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
4.ควรส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงตลาดและผู้บริโภค พร้อมสนับสนุนความรู้ด้านบริหารจัดการต้นทุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงได้
โฆษณา