2 มิ.ย. เวลา 11:32 • การศึกษา

วันที่ 27 มีนาคม 1977 เป็นวันอาทิตย์ที่ดูเหมือนจะปกติบนเกาะเตเนรีเฟของสเปน

ในบรรดาเครื่องบินที่ถูกเปลี่ยนเส้นทาง มีเครื่องบิน Boeing 747 ของสายการบิน KLM จากเนเธอร์แลนด์ และอีกลำของสายการบิน Pan Am จากอเมริกา ทั้งสองลำต้องจอดรอในสนามบินที่เล็กและแออัดมาก ขณะที่รอ ผู้โดยสารบางส่วนก็ถูกพาไปพักในอาคารสนามบิน และนักบินก็นั่งรอคำสั่งว่าจะสามารถบินต่อได้เมื่อไหร่
ช่วงบ่ายวันนั้น สนามบิน Gran Canaria เปิดอีกครั้ง เครื่องบินต่าง ๆ ก็เริ่มได้รับอนุญาตให้บินกลับไปตามแผนเดิม ซึ่งรวมถึง KLM และ Pan Am ด้วย แต่เพราะสนามบินเล็กและแออัดมาก การเคลื่อนย้ายเครื่องบินต้องทำแบบ “สลับกันใช้” บนรันเวย์เดียว เครื่องบินต้องวิ่งบนรันเวย์เพื่อเตรียมบินขึ้น แล้วถึงค่อยเลี้ยวออกไปที่จุดปล่อยตัว
แต่ขณะที่เครื่องบินกำลังเคลื่อนตัวอยู่นั้น หมอกเริ่มลงหนามากจนแทบมองไม่เห็นปลายปีกของเครื่องบินที่อยู่ข้างหน้า การสื่อสารทั้งหมดต้องทำผ่านวิทยุ และไม่มีเรดาร์บนพื้นสนามบินที่จะบอกตำแหน่งของเครื่องบินแต่ละลำได้
นักบินของ KLM ได้รับคำสั่งให้วิ่งบนรันเวย์ไปยังจุดปล่อยตัว และรอคำสั่งบินขึ้น ส่วนเครื่องบินของ Pan Am ก็ได้รับคำสั่งคล้ายกัน แต่ต้องเลี้ยวออกจากรันเวย์ที่จุดตัดก่อน ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่ KLM จะใช้บินขึ้น
เวลาผ่านไป หมอกก็ยิ่งหนาขึ้น นักบินของ KLM เริ่มรู้สึกกดดัน เพราะต้องแข่งกับเวลา เนื่องจากกฎการบินของนักบินยุโรปมีข้อจำกัดเรื่องชั่วโมงทำงาน และถ้าเลยเวลานั้น พวกเขาจะต้องจอดค้างที่เตเนรีเฟทั้งคืน
แล้วจู่ ๆ นักบิน KLM ก็ประกาศผ่านวิทยุว่า “We are now at takeoff” พร้อมกับเร่งเครื่องเต็มที่เพื่อพาเครื่อง Boeing 747 ลำใหญ่ทะยานขึ้นจากรันเวย์
แต่ปัญหาคือ… เครื่องบินของ Pan Am ยังเลี้ยวไม่พ้นจากรันเวย์ ยังอยู่ด้านหน้าห่างไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรในหมอก นักบินของ Pan Am และเจ้าหน้าที่หอบังคับการบินตกใจมาก พยายามตะโกนเตือนผ่านวิทยุ แต่เสียงซ้อนทับกัน และนักบิน KLM ไม่ได้ยินคำเตือนเหล่านั้น
เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา… เครื่อง KLM พุ่งเข้าปะทะด้านบนของเครื่อง Pan Am อย่างจัง ปีกซ้ายของ KLM แทงทะลุตัวถังเครื่องของ Pan Am ทำให้🔥ลุกท่วมทั้งสองลำ เสียงบึ้มดังกระหึ่มทั่วสนามบิน หมอกสีขาวกลายเป็นกลุ่มควันดำหนาทึบ
ผู้โดยสารในเครื่อง Pan Am บางส่วนที่อยู่ด้านหน้าเครื่องพยายามหนีออกมาทางประตูฉุกเฉิน และมีผู้รอดชีวิต 61 คน ส่วนผู้โดยสารทั้งหมดในเครื่อง KLM ตุยทันที รวมถึงลูกเรือและนักบิน รวมผู้ที่ไม่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ถึง 583 คน กลายเป็นอุบัติเหตุการบินที่มี ผู้❌ชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน
หลังเหตุการณ์ ทุกฝ่ายในวงการการบินทั่วโลกเริ่มตื่นตัว มีการออกกฎใหม่ในการสื่อสารทางวิทยุให้ชัดเจนมากขึ้น มีการใช้ประโยคมาตรฐานเท่านั้น ไม่อนุญาตให้พูดกำกวม และสนามบินใหญ่ทั่วโลกก็เริ่มติดตั้งเรดาร์ภาคพื้นเพื่อมองเห็นตำแหน่งเครื่องบินทุกลำบนรันเวย์ แม้ในสภาพอากาศที่ไม่ดี
โฆษณา