Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Chay359
•
ติดตาม
2 มิ.ย. เวลา 12:03 • ธุรกิจ
สรุป 10 บทเรียนธุรกิจ ที่ปรับใช้ได้จริง จากซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” - MarketThink
*****คำเตือน: บทความนี้ มีการสปอยเนื้อหาซีรีส์เรื่อง สงคราม ส่งด่วน*****
สงคราม ส่งด่วน (Mad Unicorn) เป็นซีรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง ซึ่งก็คือ เรื่องราวของธุรกิจขนส่ง “Flash Express” ธุรกิจสตาร์ตอัปที่เป็นยูนิคอร์นตัวแรกของเมืองไทย
ที่ก่อตั้งโดยคุณคมสันต์ แซ่ลี เด็กดอยคนหนึ่ง ที่มีความฝันอันแรงกล้าว่า อยากจะรวย จึงลงจากดอยมาตามฝัน จนกระทั่งเห็นโอกาสทางธุรกิจและจัดตั้งธุรกิจขนส่งขึ้นมาได้สำเร็จ
ซึ่งในเรื่อง ตัวละครที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณคมสันต์ ก็คือ ตัวเอกอย่าง “สันติ” ที่รับบทโดยคุณไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ ที่ได้ก่อตั้งบริษัทขนส่งชื่อว่า “Thunder Express” ขึ้นมา และมีคู่แข่งหลักอย่าง “Easy Express”
บทความนี้ MarketThink จะมาวิเคราะห์ 10 บทเรียนทางธุรกิจ และกลยุทธ์การตลาดเบื้องหลังการปั้นธุรกิจขนส่งให้กลายเป็นยูนิคอร์น ที่ซ่อนอยู่ในซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” มีอะไรบ้าง ?
1. โอกาสทางธุรกิจ คือการเห็นถึงปัญหา (Pain-Point) และหาทางแก้ไขมัน
สันติเจอปัญหาว่า ค่าส่งพัสดุของธุรกิจขนส่งเอกชนในตอนนั้นมีราคาแพง โดยเริ่มต้นที่ 50 บาท และเขาเจอว่า สินค้าที่ส่งขนขึ้นไปบนดอยนั้นก็มีราคาแพงมากกว่าในเมืองจากต้นทุนการขนส่งเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อเขาไปเจอต้นแบบธุรกิจขนส่งจากจีน ที่มีเทคโนโลยีและการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ทำให้สามารถตั้งราคาส่งพัสดุได้ถูกกว่าเป็นเท่าตัว
เขาจึงคิดอยากที่จะเป็นพาร์ตเนอร์กับ Easy China ซึ่งเป็นขนส่งของจีนทันที
นี่คือ ตัวอย่างของคนที่มองเห็น Pain Point หรือปัญหาที่เกิดขึ้นและนำมาใช้ต่อยอดสร้างธุรกิจต่อไป
2. การมองหา Partnership คือการสร้างโอกาสเติบโตทางธุรกิจ
ถึงแม้สันติจะมองเห็นโอกาสทางธุรกิจแล้ว แต่เขาแทบจะไม่มีต้นทุนอะไรเลย เมื่อคณิน ซึ่งก็คือนักธุรกิจรายใหญ่ ยื่นมือมาช่วยซื้อคอนโด พร้อมกับออกทุนส่วนที่เหลือ นั่นจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาในตอนนั้น
และทั้งคณินกับสันติก็ต้องพึ่งพาระบบของ Easy China ด้วย เพราะพวกเขามีความรู้ตลาดในไทย แต่ไม่มีองค์ความรู้และเทคโนโลยีเกี่ยวกับธุรกิจขนส่งเลย สันติจึงต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้เกิดการร่วมทุนกันขึ้น
จะเห็นได้ว่า Partnership คือสิ่งสำคัญในการขยายธุรกิจ เพราะแต่ละฝ่ายสามารถนำสิ่งที่ตัวเองชำนาญมาปรับใช้ในธุรกิจได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มทุกอย่างจากศูนย์
3. ข้อตกลงทางธุรกิจทุกอย่าง ต้องมีหลักฐานชัดเจนเป็นรูปธรรม
ไฮไลต์ในช่วงต้นเรื่องของซีรีส์ก็คือ สันติถูกคณินหักหลัง จากการเพิ่มทุนแบบลับ ๆ ระหว่างคณินกรุ๊ปและ Easy China จาก 100 ล้านบาท กลายเป็น 1,000 ล้านบาท
ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของสันติจากเดิมคือ 19% เหลือเพียง 1.9% และถูกบีบให้ออกจากตำแหน่ง CEO อีกด้วย
เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าสันติไม่ประมาทและเชื่อใจคนง่าย
บทเรียนนี้ของคนทำธุรกิจก็คือ ถ้ามีข้อตกลงทางธุรกิจใด ๆ จะต้องมีการร่างสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ไม่ใช่ทำสัญญาเพียงลมปาก
เพื่อให้มีหลักฐานเป็นรูปธรรมและมีผลทางกฎหมาย ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา อย่างน้อยที่สุดจะได้สามารถใช้สิทธิทางกฎหมายและฟ้องร้องต่อศาลได้นั่นเอง
4. All-In ได้ แต่ต้องเผื่อใจไว้ด้วย
ทั้งในเรื่องการลงทุนและการทำธุรกิจ จะเห็นว่า สันติเป็นคนที่พุ่งชนทุกอย่างและทุ่มหมดทั้งหน้าตัก ไม่ว่าจะตอน ขอสิทธิ์ขายคอนโด, ร่วมทุนกับคณิน หรือแม้แต่ตอนเล่นโป๊กเกอร์
ซึ่งตรงข้ามกับเสี่ยวหยู ที่จะลงไปเล่นในสนามที่เห็นว่า ตัวเองมีไพ่ในมือได้เปรียบคนอื่นและมีโอกาสที่จะชนะเท่านั้น
เสี่ยวหยูจึงเปรียบเสมือนผ้าเบรกบริษัทที่จะคอยรั้งสันติ และคอยช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ดังนั้น การทำธุรกิจและการลงทุนเราสามารถทุ่มหมดหน้าตักได้ แต่ก็ต้องเป็นไปอย่างรอบคอบและควรมีแผนสำรองเอาไว้เสมอ
5. บทบาท หน้าที่ในองค์กร และสัดส่วนการถือหุ้น ต้องกำหนดให้ชัดเจน
ในระหว่างผู้ก่อตั้งด้วยกัน ต้องกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นให้ชัดเจนว่า ใครเป็นคีย์แมน ใครถือหุ้นจำนวนเท่าไร อำนาจและความรับผิดของผู้ถือหุ้นเป็นอย่างไร และต้องมีการร่างสัญญาหุ้นส่วนให้ชัดเจน
รวมทั้งกำหนดบทบาท หน้าที่ระหว่างผู้ก่อตั้งให้ชัดเจนว่าใครทำอะไร และไม่ก้าวก่ายขอบข่ายอำนาจของกันและกัน เพื่อป้องกันความขัดแย้งภายในขององค์กร
นอกจากนี้ก็ต้องกำหนดว่า สิ่งไหนเป็นทรัพย์สินของบริษัท สิ่งไหนเป็นทรัพย์สินส่วนตัว และกำหนดค่าตอบแทนอย่างชัดเจนถ้ามีการนำทรัพย์สินส่วนตัวไปให้ธุรกิจใช้ เพื่อไม่ให้มีปัญหาในภายหลัง
6. Empathy คือหัวใจในการบริหารคน
ช่วงกลางเรื่อง ลีนุกซ์ พนักงานทีมเทคของ Thunder Express ถูกไล่ออกโดยรุ่ยเจี๋ย เพราะจะขอลาไปเยี่ยมแม่ที่จะต้องผ่าตัด แต่ก็ได้สันติช่วยพูดคุยกับรุ่ยเจี๋ยและช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลของแม่ ทำให้ลีนุกซ์ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง
เป็นเหตุการณ์ตัวอย่างที่ดีในเรื่องการบริหารคนของสันติ ที่มีความเห็นอกเห็นใจพนักงานและช่วยเหลือเท่าที่ตัวเองจะช่วยได้ เหตุการณ์นี้ทำให้ได้ใจพนักงานทีมเทคทุกคน และไม่มีใครมองผู้บริหารในแง่ลบ
อีกเหตุการณ์คือ ตอนสันติตัดสินใจไล่เพื่อนของตัวเองออกจากงาน เพราะโกงน้ำมันของบริษัท ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องในการบริหารคนหมู่มาก ไม่อย่างนั้นจะเกิดคำว่า “สองมาตรฐาน” ขึ้นได้
จะเห็นได้ว่า การบริหารคนจะต้องใช้ทั้ง “พระเดช” และ “พระคุณ” ให้ถูกต้องกับสถานการณ์ ต้องมองให้ออกว่า เรื่องไหนต้องเด็ดขาด และเรื่องไหนควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา
7. สินค้าและบริการ จะขายได้ดี ก็ต่อเมื่อ เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า
Easy Express ส่งพัสดุในราคา 25 บาท นับเป็นจุดขายในเรื่องราคา และเสี่ยวหยูกับสันติก็เข้าใจว่า จะลดราคาลงไปไม่ได้อีกแล้ว ทั้งคู่เลยต้องมาหาจุดยืนหรือ Positioning ของธุรกิจอีกครั้ง
ในเมื่อแข่งเรื่องราคาไม่ได้ ก็ต้องหาจุดขายอย่างอื่น ซึ่งสันติมองว่า คนต้องการความสะดวกสบาย เลยออกบริการรับพัสดุถึงหน้าบ้านที่ยังไม่มีใครทำในตลาด กลายมาเป็นจุดขายเฉพาะ หรือ Unique Selling Point ในช่วงเริ่มธุรกิจ
8. เชื่อมั่นในความคิดตัวเองได้ แต่ต้องรับฟังคนอื่นด้วย
สันติมีตำแหน่งเป็น CEO มีหน้าที่คือ วางแผน กำหนดทิศทาง และกลยุทธ์ของธุรกิจ โดยเขาเป็นคนสุดท้ายที่เคาะว่า ธุรกิจจะเดินไปในทิศทางไหน
ซึ่งช่วงกลางเรื่อง สันติลดราคาค่าส่งพัสดุตัดหน้าคู่แข่งเหลือ 19 บาท โดยไม่ตรวจสอบตัวเลขทางการเงินและไม่ฟังคำเตือนของเสี่ยวหยูว่า ซึ่งเมื่อทำแบบนั้นบริษัทจะมีกระแสเงินสดเหลือเพียง 4 เดือนเท่านั้น
แต่สันติก็เดินหน้าต่อไป และไม่รับฟังความความเห็นของคนอื่น ซึ่งผลจากการตัดสินใจนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาภายในองค์กรและบริษัทก็เกือบจะล้มในเวลาต่อมา
9. สงครามราคา ไม่ใช่ทางออกของธุรกิจ
คำเตือนของคณินที่บอกสันติว่า อย่าทำสงครามราคา เป็นคำเตือนที่สันติควรเก็บไปคิดและไตร่ตรอง แต่กลับกลายเป็นไปกระตุ้นความเชื่อมั่นในตัวเองของสันติ จนสุดท้ายก็ตกหลุมพรางของคณิน
ถ้าถามว่า การขยายฐานลูกค้าด้วยการลดราคาสามารถทำได้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าทำได้ แต่ต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่ตามมาด้วย เช่น
- ธุรกิจยังมีกำไรหรือไม่ สามารถลดต้นทุนลงได้หรือไม่ ?
- ธุรกิจมีความสามารถในการผลิตสินค้าหรือให้บริการ เพียงพอกับความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ?
- ธุรกิจมีกระแสเงินสดเพียงพอ ที่จะเผาเงินทิ้งไปในช่วงจัดแคมเปญหรือไม่ ?
- ธุรกิจจัดการกับความรู้สึกของลูกค้า ที่อาจเปลี่ยนไปหลังจากลดราคาได้หรือไม่ ?
ถ้าการลดราคาไปสร้างผลกระทบต่าง ๆ ตามมาเป็นลูกโซ่และแก้ไขไม่ได้ ก็ควรหันไปสร้างคุณค่าของสินค้าด้วยวิธีการอื่นแทน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็น “ขายดีจนเจ๊ง”
10. นอกจากบทเรียนทางธุรกิจแล้ว ก็มีกลยุทธ์การตลาดที่ซ่อนอยู่ในเบื้องหลังซีรีส์ด้วย เช่น
- Traditional Marketing คือ การสื่อสารทางเดียว ที่ผู้พบเห็นไม่สามารถตอบโต้กลับมาได้ เช่น การโฆษณาผ่านป้ายไวนิล และการใช้รถแห่โฆษณา
- การหา Positioning เช่น การกำหนดจุดยืนด้านความสะดวกสบาย ด้วยการไปรับพัสดุถึงหน้าบ้าน
- Online Marketing เช่น การสร้างแอปพลิเคชันของ Thunder Express
- Corporate Branding เช่น การสร้างแบรนด์บริษัทของ Thunder Express
- Me Too Marketing เช่น Easy Express ทำแคมเปญไปรับพัสดุถึงหน้าบ้านเหมือน Thunder Express
- Influencer Marketing เช่น Easy Express มีพรีเซนเตอร์ช่วยโปรโมตและทำการตลาด
- Content Marketing เช่น การสร้างเพจและคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
- การขายตรง เช่น พนักงาน Thunder Express ไปแจกแผ่นพับและเชิญชวนให้คนหันมาใช้บริการตัวเอง
- Customer Extension เช่น Thunder Express ขยายฐานลูกค้าด้วยการลดราคาส่งพัสดุเหลือ 19 บาท
#สงครามส่งด่วน
#MadUnicorn
#Netflix
ธุรกิจ
การลงทุน
การเงิน
บันทึก
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย