Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เมืองไทยไดอารี่ by Supawan
•
ติดตาม
3 มิ.ย. เวลา 02:40 • ท่องเที่ยว
ตามรอยหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด : วัดต้นเลียบ วัดดีหลวง วัดพะโคะ .. สทิงพระ สิงหนคร จังหวัดสงขลา
วัดต้นเลียบ .. สักการะสถานที่ฝังรกหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
“วัดต้นเลียบ” ตั้งอยู่ที่ตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา .. เป็นวัดเก่าแก่ เรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของตำนานหลวงปู่ทวด พระเกจิอาจารย์ชื่อดังสมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยเป็นบ้านเกิดของหลวงปู่ทวด
บรรยากาศภายในวัดร่มรื่นและเงียบสงบ สถานที่สำคัญของวัดต้นเลียบ นั่นก็คือ "ต้นเลียบ" ต้นไม้ขนาดใหญ่ ตระกูลเดียวกับต้นโพธิ์ ขนาดลำต้น 21 เมตร แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาอยู่ภายในวัด มีอายุราว 500 ปี.. ผู้เลื่อมใสศรัทธาเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้นไม้สำคัญในตำนานหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
ตามประวัติกล่าวว่า บิดามารดาของหลวงปู่ทวดได้นำรกของลูกมาฝังไว้ที่โคนต้นเลียบนี้ .. ปัจจุบันมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากต่างแวะเวียนมากราบไหว้ขอพร เชื่อว่าหากใครได้มากราบสักการะที่ต้นเลียบนี้ จะช่วยให้มีชีวิตรากฐานที่มั่นคง
https://travel.trueid.net/detail/zX1qyjdbryRX
วัดดีหลวง
“วัดดีหลวง” .. ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตําบลดีหลวง อําเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นวัดเก่าแก่และโบราณมาตั้งแต่สมัยอยุธยา คนเฒ่าคนแก่มักจะเรียกว่า “วัดเจดีย์หลวง” เพราะสมัยก่อนมีเจดีย์ ๕ ยอดขนาดใหญ่อยู่หน้าพระอุโบสถ
ตามประวัติกล่าวว่า … สมภารเจ้าวัดองค์แรกมีนามว่า "สมภารจวง" ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงลุงของ “องค์สมเด็จเจ้าพะโคะ” หรือ “หลวงพ่อทวด” เหยียบน้ำทะเลจืด
“วัดดีหลวง” .. เป็นวัดที่มีความเจริญรุ่งเรืองด้านสถาปัตยกรรม เป็นสํานักเรียนใหญ่มาแต่โบราณ ปรากฏหลักฐานเล่าสืบต่อกันมาว่าวัดดีหลวง เป็นวัดที่เด็กชายปูเคยมาอาศัยกับสมภารจวง ซึ่งเป็นหลวงลุง
เมื่ออายุได้ 14 ปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรและศึกษาวิชาต่าง ๆ ในวัดจนหมดสิ้น และได้ไปเรียนต่อที่วัดสีหยังและได้ศึกษาต่อไปจนถึงกรุงศรีอยุธยาตามลําดับ
“วัดดีหลวง” .. จึงเป็นวัดที่มีความสำคัญวัดหนึ่งในคาบสมุทรสทิงพระ และต่อประวัติองค์สมเด็จหลวงปู่ทวดเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นวัดที่หลวงปู่ทวดเคยบวชเป็นสามเณร
โบราณสถาน/โบราณวัตถุ
พระอุโบสถ .. พระอุโบสถของวัดดีหลวงเป็นอุโบสถเก่าซึ่งได้รับการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๓ โดยช่างท้องถิ่นภาคใต้โดยมีพ่อท่านดำและพระภิกษุแก้วเป็นประธาน มีลักษณะก่ออิฐถือปูน บานประตูและหน้าต่างทำด้วยไม้ หลังคาทำด้วยไม้ ประดับช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์
ลวดลายปูนปั้นที่หน้าบันพระอุโบสถ เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณขนาบข้างด้วยเทวดา จำหลักลายกระหนกและนางฟ้าร่ายรำอย่างสวยงาม ตกแต่งด้วยลายก้านต่อดอก ถือว่า ประติมากรรมซึ่งเป็นฝีมือช่างท้องถิ่นที่โดดเด่นเป็นพิเศษ .. ส่วนหน้าบันด้านหลังเป็นลายปูนปั้นรูปพระพุทธรูปปางห้ามญาติมีสาวกขนาบข้างทั้งซ้ายขวา
ลายปูนปั้นที่หน้าบันศาลาไม้เก่าแก่ซึ่งปั้นเป็นรูปเทพนม รูปฤษี ดวงดอกไม้ ประดับกรอบซุ้มรูปฤษี มีหางหงส์ประดับ ประติมากรรมที่ปรากฎถือได้ว่ามีคุณค่าทางศิลปะและความงามมากเช่นกัน
ภายในโบสถ์ .. มีพระประธานปูนปั้นนูนสูงปางมารวิชัยลงรักปิดทอง ประดิษฐานอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว พระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยมพระศกละเอียด (ชาวบ้านมักจะเรียกว่าหลวงพ่อยิ้ม) มีไรพระศกเป็นแผ่นหนา พระขนงจดกันเป็นปีกกาล่ำสันแข็งกระด้าง นักโบราณคดีกำหนดว่ามีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19
ในหนังสือกัลปนาวัดหัวเมืองพัทลุงสมัยพระเอกาทศรถระบุว่า ท้าวราชกฤษณา ภรรยาออกยาราม (ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่าเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช) เป็นผู้สร้างวิหารและพระพุทธรูปองค์นี้
ภายในอุโบสถ .. มีภาพจิตรกรรมฝาผนั่งเทพชุมนุม ด้านหน้าของซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูป ปางเปิดโลกภายใต้เศวตฉัตร
เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ (เจดีย์รอบพระอุโบสถ) .. เป็นเจดีย์ 3 ยอดที่หลวงพ่อแก้ว พุทธมุณี ร่วมกับสาธุชน สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2472 เนื่องจากเจดีย์องค์ใหญ่หน้าพระอุโบสถที่สมเด็จเจ้าพะโคะ หรือหลวงพ่อทวด สร้างไว้ได้ถึงกาลเวลาย่อยเป็นอิฐกองอยู่หน้าอุโบสถ หลวงพ่อแก้ว พุทธมุณี อดีตเจ้าอาวาสวัดดีหลวง จึงได้บูรณะขึ้นใหม่ โดยใช้ฐานอิฐเดิมสร้างเป็นเจดีย์ขึ้นทั้ง 8 ทิศ ซึ่งประดิษฐานควบคู่กับในเสมารอบ ๆ พระอุโบสถ
เจดีย์ก่อด้วยอิฐถือปูน รูปทรงแบบมณฑปย่อมุมไม้สิบสอง มี 5 ยอดคล้ายกับพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้านหลังอุโบสถมีเจดีย์ก่อด้วยอิฐถือปูน 3 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ทางทิศเหนือและทิศใต้อุโบสถมีเจดีย์ก่อด้วยอิฐถือปูนด้านละ 3 องค์ เป็นแบบทรงลังกา
https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/dae657a1
วัดพระราชประดิษฐาน หรือวัดพะโคะ
วัดราชประดิษฐาน หรือวัดพะโคะ .. เดิมชื่อว่า "วัดหลวง" ตั้งอยู่ที่บริเวณเขาพัทธสิงค์ หมู่ ๖ ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
ถือเป็นวัดที่เก่าแก่และมีความสำคัญยิ่งวัดหนึ่งในคาบสมุทรสทิงพระ และเคยเป็นวัดที่จำพรรษาของหลวงพ่อทวด
ทางขึ้นสู่บริเวณวัดพะโคะ ซึ่งตั้งอยู่ยนเนินเขา
ระหว่างทางปรากฏมีศาสนสถานอยู่หลายอย่าง
วัดพะโคะ .. ชื่อนี้เชื่อว่ามาจากชื่อพระพุทธไสยาสน์ ที่ประดิษฐานภายในวัดซึ่งมีชื่อว่าพระพุทธโคตรม
ตามความนิยมของชาวบ้านเรียก ชื่อวัดตามชื่อพระโคตมะว่าวัดพระโคตรมะ ครั้นเวลาผ่านมาวัดพระโคตรมะเรียกเพี้ยนเป็นวัดพะโคะ
วัดนี้ มีบทบาทสำคัญมากในสมัยอยุธยา เพราะเป็นศูนย์กลางการปกครองของคณะสงฆ์ บริเวณฝั่งตะวันออกของทะเลสาบสงขลา
อีกทั้งเป็นสถานที่ที่ใช้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาของเจ้าเมืองพัทลุงในสมัยก่อน เพราะในสมัยที่เมืองพัทลุงเป็นศูนย์กลางการปกครองชุมชนลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
โบราณสถาน/โบราณวัตถุ
พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ
พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ (เจดีย์ทอง) มีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมไทยภาคใต้ มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ผ่านการบูรณะมาหลาย ๆ ครั้ง แต่ก็ยังคงรักษาลักษณะของความเป็นต้นแบบดั่งเดิมเอาไว้ตลอดมา ..
.. เป็นเจดีย์โบราณที่สำคัญและเป็นประธานของวัดวัดพะโคะ ภายในยอดองค์เจดีย์บรรจุพระบรมธาตุรูปแบบของเจดีย์เป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยาแบบลังกา
จากหลักฐานที่ปรากฏเจดีย์สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๕๗ ซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เป็นช่วงสมัยอยุธยาตอนต้นและได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยสมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. ๒๑๔๘-๒๑๕๓) และได้รับการบูรณะซ่อมแซมเรื่อยมา
ลักษณะขององค์เจดีย์เป็นก่ออิฐถือปูนทรงระฆังรองรับด้วยลานประทักษิณ ๓ ชั้น ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลื่ยมจตุรัสขนาดใหญ่ ๓ ชั้น รอบฐานชั้นล่างสุดมีประติมากรรมปูนปั้นรูปช้างและพาไลมุงกระเบื้องเกล็ดเต่า
พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุนี้ เป็นเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลทั้งพุทธศาสนานิกายหินยานและนิกายมหายาน หากแต่ผู้สร้างได้นำมาประยุกต์ก่อให้เกิดรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะอย่างน่าทึ่ง
พระเจดีย์เป็นทรงกรวยซ้อนกันบนฐานสี่เหลื่อม เป็นการผสมผสานกันโดยนำเอาสถาปัตยกรรมแบบมณฑปมาสร้างเป็นฐานแล้วเอาเจดีย์สร้างซ้อนอยู่บน ซึ่งเจดีย์ลักษณะนี้ปรากฏมาตั้งแต่สมัยศรีวิชัย (พ.ศ. ๑๒๐๐ ถึง-๑๘๐๐)
รูปทรงสัณฐานขององค์เจดีย์ทรงแบบนี้ฐานเป็นฐานเขียงสี่เหลื่ยม มีฐานที่มีเป็นระเบียงรับตัวเจดีย์ ที่ทำเป็นแบบมณฑปมีมุขสี่ด้านเรียกว่า “จตุรมุข” ในมุขทำเป็นซุ้มหน้าบันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำทุกด้าน
พระอุโบสถ
อุโบสถหลังแรกของวัดพะโคะนั้น จากหลักฐานปรากฏว่าสร้างพร้อมกับพระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ เพราะจากรูปทรงสัณฐานที่ปรากฏร่องรอยการบูรณะปฏิสังขรณ์มาหลาย ๆ ครั้งแต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าปีไหน
สพระอุโบสถหลังปัจจุบันนี้สร้างเป็นทรงไทย มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ทางขึ้นพระอุโบสถมีช้าง ๑ คู่ ตั้งอยู่ทางบันได
สำหรับหลังคาพระอุโบสถลดระดับสองชั้น หลังคาลดชั้นไต่ระดับเป็นสองชั้นมีพาไลหน้าหลัง
อาคารพระอุโสถมีขนาดไม่ใหญ่มาก บันไดและพระระเบียงประดับด้วยหินแกรนิตหลากสี เสาสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองหน้าบันปูนปั้นปิดทองเป็นรูปพระอาทิตย์ชักรถเทียมสิงห์ ซึ่งจะแตกต่างกับอุโบสถอื่นที่พระอาทิตย์เทียมม้า
ซุ้มประตูพระอุโบสถเป็นรูปมงกุฏซึ่งบานประตูด้านหนึ่งแกะสลักเป็นยักษ์แบกทวารบาลที่เป็นยักษ์ อีกด้านเป็นวานร (ลิง) แบกทวารบาลที่เป็นเทวดา
สำหรับฝาผนังพระอุโบสถทำเป็นลายนูนต่ำพุ่มทรงข้างบิณฑ์ บานหน้าต่างไม้แกะสลักปิดทองเป็นรูปทวารบาบแบบต่าง ๆ ไม่ซ้ำกันมีคันทวยที่หัวเสาทุกต้น
บ่อน้ำซักจีวรหลวงพ่อทวด
บ่อน้ำซักจีวรและสรงน้ำของหลวงพ่อทวด อยู่บริเวณทางเดินทางด้านขวามือก่อนจะถึงมณฑปจตุรมุข
https://clib.psu.ac.th/southerninfo/content/1/262707a8
บันทึก
2
1
1
2
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย