3 มิ.ย. เวลา 02:53 • ธุรกิจ

🏁 ระดมทุนไม่ใช่เส้นชัย แต่คือ 'สัญญาเปลี่ยนเกม’

(เมื่อ Startup ต้องเลิกเล่นแบบคนไม่มีเงิน ~ ข้อคิดจากมุมมองคนดูซีรีย์)
“The moment you raise money, you're no longer optimizing for survival. You're optimizing for scale.” — Paul Graham
(หนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการสตาร์ทอัพระดับโลก, 👨‍💻 ผู้ร่วมก่อตั้ง Y Combinator (YC): ซึ่งเป็น Startup Accelerator ชั้นนำของโลก ให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพชื่อดังอย่าง Airbnb, Dropbox, Reddit, Stripe)
====
1. ก่อนระดมทุน --> ผู้ก่อตั้งคือทุกอย่าง (และควรเป็นแบบนั้น)
* ในช่วง Pre-seed หรือ Seed Stage ผู้ก่อตั้งคือคนที่สวมหมวกแทบทุกใบ — "เขียนโค้ด, ทำวิจัยตลาด, ขายของ, ไล่เก็บเงินลูกค้า" — เพราะทรัพยากรจำกัด และ Product ยังไม่ Fit กับตลาดชัดเจน
* การลงมือเองคือวิธีเรียนรู้ตลาดที่ดีที่สุด เป็น 'ช่วงพิสูจน์ตัวตน' ของบริษัทที่สำคัญมาก จนกระทั่งสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้มีนักลงทุนใส่เงินเข้ามาได้สำเร็จ นี่คือช่วงที่ Founders ได้สัมผัสกับปัญหาจริงของลูกค้าแบบไม่มีฉากกั้น — ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบ First-hand ทั้งเชิงเทคนิคและเชิงอารมณ์ ซึ่งกลายเป็นรากฐานของ Vision ในระยะยาว
* ตัวอย่างเช่น Brian Chesky และ Joe Gebbia แห่ง Airbnb ที่ต้องลงมือปล่อยห้องเองในช่วงแรก รวมถึงถ่ายรูปประกาศลงเว็บไซต์ด้วยตัวเอง เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้ จนนำไปสู่การพัฒนา 'Airbnb Photography Program' ที่ช่วยยกระดับคุณภาพ Listings ทั่วโลกในภายหลัง
ช่วง Pre-funding เหล่านี้ จึงไม่ใช่แค่การเอาตัวรอด...แต่คือการ 'ลงลึกกับปัญหา' จนรู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังสร้าง “ควรมีอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ”
====
2. หลังได้เงินทุน --> คุณไม่ได้ "เล่นเกมเดียวกัน" อีกต่อไป
* หลาย Startup หลังได้เงินทุน ยังทำเหมือนเดิมทุกอย่าง — "ไม่เปลี่ยน mindset, ไม่สร้างทีม, และไม่กล้าดึงคนเก่งมาร่วมขับเคลื่อน" ทั้งที่จุดนี้คือโอกาสทองของการเร่งสปีดบริษัทเข้าสู่การเติบโตระดับใหม่
* เช่นกรณี Figma หลังได้เงินรอบ Series A จาก Sequoia ก็เร่งสร้างทีมวิศวกร UX และเปิดตัว Beta ภายใน 6 เดือน ด้วย Vision ที่ชัดเจน: เปลี่ยนวิธีทำงานออกแบบในองค์กรแบบ Collaboration-first จนกลายเป็นเครื่องมือที่ disrupt ตลาด design tool ได้สำเร็จ
* หรือ Canva ที่หลังได้เงินทุนจาก Felicis Ventures และ Blackbird Ventures ก็ขยายทีม GTM (Go-to-Market) อย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าสู่ตลาด B2B อย่างเป็นทางการ จนกลายเป็น core platform ในงานออกแบบขององค์กรทั่วโลก โดยมีรายได้จาก B2B เพิ่มขึ้นหลายเท่าภายในไม่กี่ปี
* อีกตัวอย่างที่ชัดคือ Notion ซึ่งหลังจากได้เงินทุน Series A ก็ลงทุนสร้างระบบ onboarding และ documentation ที่แข็งแรงทันที เพื่อให้ user ใหม่ใช้งานได้ไว ลดการพึ่งพา support และขยาย adoption ได้แบบ scale ทั่วโลก
* การมีทุนในมือไม่ควรใช้เพื่อ 'อยู่รอดได้นานขึ้น' เท่านั้น — แต่มันคือการ shift mindset ว่า ตอนนี้คุณกำลังเล่นใน 'สนามของการ scale' ที่ใช้กฎคนละชุดกับสนามของการเริ่มต้น
เมื่อเงินทุนเข้ามา คือเวลาที่ Founder ต้องเลิก Optimize for survival — และเริ่ม Optimize for scale ด้วยการลงทุนในคน ระบบ และการเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยทีม ไม่ใช่แค่ตัว Founder
=====
3. กล้าทิ้งหมวก --> เพราะคุณไม่สามารถทำทุกอย่างได้อีกแล้ว
* สิ่งที่ฆ่า Startup ไม่ใช่การเติบโตไว — แต่คือ "การพยายามโต โดยที่ยังทำงานแบบเดิม ใช้ Mindset เดิม ท่ามกลางโจทย์ที่เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง"
* เมื่อเข้าสู่ช่วง Post-Seed หรือ Series A บทบาทของ Founder ต้องเปลี่ยนจาก “คนทำทุกอย่าง” → เป็น “คนสร้างระบบให้ทุกคนทำได้ดี” และยอมรับว่าความสามารถที่พาธุรกิจมาถึงจุดนี้ อาจไม่ใช่สิ่งที่จะพาไปสู่จุดต่อไป
* ยกตัวอย่างเช่น Notion ที่ผู้ร่วมก่อตั้ง Ivan Zhao เมื่อเห็นว่า Product เริ่ม Fit ก็รีบดึง Akshay Kothari อดีตผู้บริหารจาก LinkedIn และผู้สร้าง Uber Japan เข้ามารับบท COO เพื่อสร้างระบบ Operation และการขยายทีมที่มีประสิทธิภาพ จนสามารถขยายตลาดสู่ต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน
* หรือในกรณีของ Stripe — เมื่อเติบโตถึงจุดหนึ่ง ผู้ก่อตั้งสองพี่น้อง Patrick และ John Collison ก็เริ่มถอยออกจากบทบาท Execution รายวัน แล้วหันไปโฟกัสเรื่อง Culture, Strategic Partnership และการวางอนาคตของ Global Payment Infrastructure ในระยะยาว โดยเปิดทางให้ผู้บริหารระดับสูงเข้ามาดูแลแต่ละฟังก์ชันอย่างลึกซึ้ง
สิ่งสำคัญคือ Founder ต้อง “ยอมปล่อย” บางหมวกที่เคยใส่ และมองหาคนที่ “ใส่หมวกใบนั้นได้ดีกว่า” เพื่อขยับจากการเป็น ‘คนทำ’ ไปสู่ ‘คนสร้างระบบที่ดีให้คนทำ’ — เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่จะ Scale ได้จริงในระยะยาว
=====
4. Checklist สำหรับ Startup หลังได้เงินทุน
ถ้าคุณเพิ่งได้เงินทุน และยังไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ — จงเริ่มทันที
1. Hire Top 3 Roles ที่จะช่วยคุณ Scale
* อย่ารีรอที่จะดึงคนเก่งเข้ามาเสริมทัพ โดยเฉพาะตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ เช่น Growth Lead, Tech Lead หรือ BizOps ที่สามารถสร้างระบบให้ทีมขยายได้แบบไม่ต้องพึ่งพาผู้ก่อตั้งทุกเรื่อง
* ตัวอย่างเช่น Figma ดึง UX Engineer ชั้นนำเข้ามาเพื่อเร่งพัฒนา Beta จนสามารถเปิดตัวได้ภายใน 6 เดือนหลัง Series A
* หรือ Canva ที่รีบตั้งทีม GTM เพื่อบุกตลาด B2B อย่างมีประสิทธิภาพหลังได้ทุน
2. ปรับ Culture และ Goal Setting
* เปลี่ยนวิธีคิดจาก Task-based → Objective-based ให้ทีมแต่ละฟังก์ชันมีเป้าหมายเชิงผลลัพธ์ (Outcome) ชัดเจน เช่น OKRs หรือ North Star Metric
* สิ่งนี้ช่วยให้ทีมทำงานแบบมี “เข็มทิศเดียวกัน” และลด Micromanagement โดยอัตโนมัติ
* ยกตัวอย่าง Notion ที่เน้นชัดเรื่อง user onboarding จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม “User-first” ซึ่งส่งผลต่อทุกการตัดสินใจผลิตภัณฑ์
3. Build Real-Time Visibility System (มากกว่าแค่ Dashboard)
หากคุณไม่มีระบบที่ทำให้เห็นว่า “ใครกำลังทำอะไร ใช้เงินเท่าไร มีอะไรติดคอขวด” — คุณจะไม่สามารถ Scale ได้อย่างมั่นคง
* อย่าให้คำว่า “Dashboard” ทำให้คุณคิดถึงแค่กราฟรายงาน เพราะสิ่งที่คุณต้องการคือ ระบบติดตามผลที่เห็นได้ทุกวัน ทุกอาทิตย์ ทุกเดือน — เพื่อให้ทีมรู้สถานะล่าสุดตลอดเวลา
* ใช้เครื่องมืออย่าง Looker, Metabase หรือ Retool เพื่อเชื่อมข้อมูลจากฟังก์ชันต่างๆ เข้าด้วยกัน สร้าง Single Source of Truth ที่ทีมทุกคนใช้ร่วมกัน
* ระบบนี้ควรเป็นทั้ง "กระจกสะท้อนสุขภาพขององค์กร" และ "เรดาร์เตือนภัย" ก่อนเกิดปัญหา
4. Start Delegating
* หยุดพยายาม "รู้ทุกเรื่องเอง" — เพราะสิ่งที่คุณรู้ในวันนี้ อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในวันพรุ่งนี้
* เริ่มจากการ Assign Decision Right ให้คนที่เหมาะสม เช่น Tech Lead มีสิทธิ์ตัดสินใจ Stack หรือ COO จัดลำดับความสำคัญของ Hiring แทน Founder
* ตัวอย่างที่ดีคือ Stripe ที่ Patrick Collison ยอมถอยจากบางบทบาท และเปิดทางให้ COO และ CFO เข้ามานำในส่วน Execution เต็มรูปแบบ
5. Communicate Vision & Pace
* ทีมที่ดี ต้องเข้าใจว่าเราจะไปที่ไหน ภายในกี่เดือน ไม่ใช่แค่รอดให้ถึงสิ้นปี
* ต้องมีการ Sync Vision อย่างต่อเนื่อง เช่น All-hands รายเดือน, OKR Review หรือการสื่อสารแบบ “Townhall Weekly”
* เป้าหมายที่วัดผลได้ + ความเร็วที่ชัดเจน = ทีมที่พร้อม Scale โดยไม่หลุดโฟกัส
✅ Checklist นี้ไม่ใช่สิ่งหรูหรา — แต่มันคือ "ระบบความปลอดภัย" สำหรับ Startup ที่ต้องขับเร็วขึ้นทุกไตรมาส
====
5. ระดมทุนคือการข้ามสนาม --> คุณไม่ได้แข่งกับตัวเองอีกต่อไป
* การได้เงินทุนไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือ 'ใบเบิกทาง' สู่สนามที่ใหญ่ขึ้น เร็วกว่า และโหดหินกว่าเดิมมาก — เหมือนคุณเพิ่งชนะในสนามระดับจังหวัด และต้องก้าวขึ้นไปแข่งในโอลิมปิกภายในเวลาไม่กี่เดือน
* นักลงทุนไม่หวังให้คุณ 'รอด' — เขาหวังให้คุณ 'ระเบิดกราฟ' แบบ 10X ไม่ใช่แค่บวก 10%
* แต่ Startup จำนวนมากที่เคยทำได้ดีในช่วงก่อนมีเงินทุน กลับ 'พังเอง' ทันทีที่ได้ทุน เพราะยังเล่นเกมแบบเดิม — ไม่กล้าจ้างคนเก่ง, ไม่กล้าเปลี่ยนระบบ, และไม่กล้าเลิกทำทุกอย่างเอง
* สิ่งที่เปลี่ยนไปหลังการระดมทุน ไม่ใช่แค่ 'เงินในบัญชี' แต่คือ 'ความคาดหวัง' ที่สูงขึ้นราวกับเปลี่ยนจากการวิ่งมาราธอนเดี่ยว เป็นการคุมทีม F1 ที่ต้องเข้าเส้นชัยทุกไตรมาส
* เพราะโลก Startup ไม่ได้ให้รางวัลกับคนที่ทำทุกอย่างได้เอง...แต่มอบชัยชนะให้คนที่ "กล้าสร้างทีมที่เก่งกว่าเขา" และกล้าเป็นผู้เล่นในเกมใหม่ โดยไม่ยึดติดกับเวอร์ชันเก่าของตัวเอง
* ลองดูกรณีของบริษัทอย่าง Atlassian (https://nira.com/atlassian-history) และ Canva(https://research.contrary.com/company/canva)  ซึ่งใช้เงินทุนเป็นเครื่องเร่งในการขยายองค์กร โดยดึงผู้บริหารจากบริษัทระดับโลกเข้ามาสร้างระบบ ไม่ใช่แค่เพิ่มจำนวนพนักงาน — นี่คือการใช้เงินเป็น 'ตัวคูณความสามารถ' ไม่ใช่แค่ 'ต่ออายุ' บริษัท
Startup ที่เติบโตได้หลังระดมทุน คือ “คนที่รู้ว่าเกมเปลี่ยนแล้ว...และกล้าเปลี่ยนตัวเองให้ทันเกม”
====
6. โตให้ไว…แต่ต้องไม่เหี้ยมเกินไป
* โลกธุรกิจอาจยอมรับการแข่งขัน แต่ไม่ควรยอมรับ 'ความเหี้ยม' เป็นบรรทัดฐาน หรือบูชาคนที่ 'ชนะ' โดยไม่สนว่าเขาทำลายอะไรระหว่างทาง
* ในภาพยนตร์อย่าง Mad Unikorn เราเห็นตัวเอกทำทุกอย่างเพื่อ 'ขึ้นเป็นที่หนึ่ง' แม้ต้องเหยียบใครก็ตามให้จมดิน เพื่อล้างแค้นเจ้าสัวในเรื่อง ซึ่งถ้าเราไม่ตั้งคำถามกับ Narrative แบบนี้ เราอาจสร้างวัฒนธรรมธุรกิจที่บูชาความโหดเหี้ยม โดยไม่รู้ตัว และอาจทำให้ผู้ชม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ อินกับแนวคิดว่า “จะสำเร็จต้องเหี้ยม ต้องทิ้งคน ต้องชนะเท่านั้น”
* ในชีวิตจริง "โลกธุรกิจไม่ควรมีคนแพ้ เพราะอีกคน 'เหี้ยม' เกินไป" — เพราะเมื่อใดที่ธุรกิจเติบโตบนซากศพของคนอื่น เราทั้งสังคมก็อาจให้ค่ากับสิ่งที่ผิด
* ลองคิดดูว่าหาก Startup หนึ่งเติบโตขึ้นมาโดยไล่คู่แข่งเล็กออกจากตลาด กดราคาจนกิจการท้องถิ่นต้องปิดตัว หรือแม้แต่รีดแรงงานจนคนหมดไฟ เราอาจได้ “ผู้ชนะ” ที่วัดด้วยตัวเลข...แต่ในระยะยาว เราเสียคุณภาพของ ecosystem ทั้งระบบ
* Startup ที่ดีควรเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่กับลูกค้าและนักลงทุน แต่กับ ecosystem ทั้งระบบ — "คู่แข่ง, พนักงาน, พาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ และแม้แต่ตลาดที่พวกเขาเข้าไปเปลี่ยนเลนของธุรกิจ"
การทำธุรกิจที่ดีไม่ใช่แค่ 'วิ่งเข้าเส้นชัยคนแรก' แต่คือ 'ทำให้คนอื่นวิ่งตามเราได้โดยไม่บาดเจ็บ' นั่นจึงเป็นผู้นำที่แท้จริงในโลกธุรกิจ
====
ดังนั้น คุณพร้อมหรือยังสำหรับเกมที่ชื่อว่า "Scale"?
สรุปให้ฟังว่า "Startups before funding"
* founders build products. 
* founders do customer research. 
*  founders sell to potential customers. 
* founders call existing customers to pay. 
"Basically founders do everything."
Startups after seed/early funding
* They continue to do the same. 
* They don't change the game to bring in top talent. 
* They continue to optimize for survival.
จะ Bootstrapping ก็ไม่ผิด จะระดมทุนก็ไม่มีใครว่า
แต่ถ้าเลือกจะระดมทุน — จงเข้าใจว่านี่ไม่ใช่แค่เงินสด แต่มันคือ 'สัญญา' ที่คุณต้องโตให้ได้เร็วกว่าเดิม หลักแหลมกว่าเดิม และสร้างสิ่งที่ใหญ่กว่าเดิม
“ระดมทุนไม่ใช่เส้นชัย แต่คือการซื้อ 'สิทธิ์' ในการลงแข่งในลีกที่คุณไม่เคยชนะมาก่อน”
และอย่าลืมว่า…ไม่มีชัยชนะใดที่ควรแลกกับจริยธรรม หรือทำให้โลกธุรกิจกลายเป็นเวทีแห่งการทำลาย
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#Startup
#มองจากมุมนักเขียนนักดูหนัง
#MadUnikorn
#สงครามส่งด่วน
#Netflixseries
โฆษณา