Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
aomMONEY
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
3 มิ.ย. เวลา 11:28 • ไลฟ์สไตล์
2 กรณีศึกษา ‘เศรษฐีข้างบ้าน’ คนธรรมดาเขาร่ำรวยได้อย่างไรกัน?
บทความนี้แปลมาจากบทความของ ดาริอุส โฟรูซ์ (Darius Foroux) นักธุรกิจและนักเขียนที่เรียนจบด้านการตลาดและธุรกิจ เขาเคยเป็นอดีตผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนที่ลาออกมาเพื่อทำธุรกิจและเป็นนักเขียนหนังสือด้านการพัฒนาตัวเอง ปรัชญาสโตอิก และการเงินการลงทุน หนึ่งในผลงานที่เป็นที่รู้จักของเขาก็คือ The Stoic Path to Wealth
ดาริอุส ก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่สงสัยและมีคำถามที่ว่า “คนเราร่ำรวยได้อย่างไร” ถ้าไปพิมพ์ถามด้วยคำถามนี้ในแพลตฟอร์มต่างๆ เราอาจได้รับคำตอบเป็นประสบการณ์ของคนที่ประสบความสำเร็จ เช่น วิธีการของ Jeff Bezos ว่าเขารวยได้อย่างไร แต่ดาริอุสไม่ได้มองหาคำตอบแบบนั้น เขาต้องการแค่คนรวย "ธรรมดา" ที่อาศัยอยู่แถวบ้านเขา เพราะถ้าใครก็ตามจากแถวบ้านๆ ของเราสามารถรวยได้ เราก็จะสามารถรวยได้เช่นกัน
ดาริอุส ได้ไปศึกษาชีวิตเพื่อนบ้านและเอามาเขียนเป็น บทความ “How Do People Become Wealthy” ขึ้นมา โดยใช้กรณีศึกษาจากคนรวยสองที่เป็นทั้งเพื่อนและที่ปรึกษาของเขา ในบทความนี้ ดาริอุสใช้นามแฝงแทนชื่อจริงของเพื่อน เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว แต่เรื่องราวที่เหลือเป็นเส้นทางจริงสู่ความร่ำรวยของพวกเขาจริงๆ เขาค้นพบอะไรบ้าง ไปดูกัน
กรณีศึกษาที่ 1: ผู้ที่สนุกกับชีวิต
จอห์น อายุหกสิบปลายๆ มีลูกที่โตแล้ว 3 คน และหลาน 2 คน เขาเคยหย่าร้างและอาศัยอยู่กับสุนัขของเขา เขามีแฟนที่เขาพบกันหลายครั้งต่อสัปดาห์ จอห์นคนนี้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์สำหรับพักอาศัยขนาดเล็ก (ดาริอุสก็เคยไปเช่าอยู่) ชีวิตของจอห์ค่อนข้างดี เขาไม่ต้องทำงาน อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ใช้เวลากับลูกและหลาน และออกเรือเมื่ออากาศดี ในเรื่องของการจัดการรายได้จอห์นคนนี้จะใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อเดือนในการจัดการทรัพย์สินของเขา ซึ่งเขาจ้างคนอื่นทำงานด้วยเป็นส่วนใหญ่
"แต่ชีวิตของผมไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอไปหรอก" เขาพูดเมื่อดาริอุสถามเขาว่าเขาเริ่มต้นทั้งหมดนี้ได้อย่างไร
จอห์น เรียนจบมหาวิทยาลัยและหลังจากนั้นก็เปลี่ยนงานหลายครั้งจนกระทั่งเขาตระหนักได้ว่าเขาต้องเริ่มธุรกิจของตัวเอง ตอนนั้นเขาแต่งงานแล้วและมีลูกหนึ่งคน ในตอนนั้นเขาเริ่มเปิดบริษัทฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ ตัวเขาเองเคยไปตามบริษัทต่างๆ และจัดสัมมนาเกือบทุกด้าน ภาวะผู้นำ การสื่อสาร การขาย การทำงานเป็นทีม ทุกอย่างที่พอจะนึกออก ซึ่งตอนหลังเขาก็จ้างวิทยากรมาทำงานเหล่านี้แทนเขาอีกที
จอห์นเล่าว่าเขาใช้เวลาเกือบ 20 ปีในการสร้างบริษัท "ผมอยู่ที่ทำงานตลอด และผมก็สนุกกับมันเสมอ แต่ผมพลาดช่วงวัยเด็กของลูกๆ ไปมาก" ซึ่ง ณ ตอนนี้เองเขาก็ไม่เสียใจกับการตัดสินใจทำงานหนัก
เพราะจอห์นมองว่านี่เป็นราคาที่เขาต้องจ่ายเพื่อความร่ำรวย เขาสร้างธุรกิจและสร้างงานไว้ เพื่อให้ ลูกๆ ของเขาทุกคนประสบความสำเร็จ ลูกของเขาจบมหาวิทยาลัย สองคนมีงานที่ดี และอีกคนมีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เพียงแต่ว่าตอนเติบโตมา ลูกๆ ของเขาไม่ชอบเลยที่พ่อไม่ค่อยอยู่บ้าน
1
"เกือบ 20 ปีที่ผมทุ่มเทให้กับบริษัทอย่างเต็มที่ ตอนท้ายของการเดินทาง ผมหมดพลัง ผมได้รับข้อเสนอที่ดีและผมก็ขายบริษัทไป" นั่นเป็นช่วงที่จอห์นรวยแล้ว ในตอนอายุสี่สิบกว่า
หลังจากนั้น จอห์นก็ทำงานเป็นผู้จัดการชั่วคราวอยู่หลายปี เขาไปช่วยบริษัทที่มีปัญหาและพยายามพลิกฟื้นสถานการณ์ แต่หลังจากนั้นสักพัก เขาก็เบื่อ และเขาก็ไม่เคยเริ่มธุรกิจใหม่อีกเลย
หลังจากที่เขาขายธุรกิจและมีเงินมากขึ้น เขาก็เข้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตอนนี้อสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่เขายังอยู่ในวงการจนถึงทุกวันนี้ จอห์นไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราและขับรถสเตชั่นวากอนคันเดิมมาหลายปี (ยกเว้นเรือและงานศิลปะที่เขาชอบสะสม)
[ ดาริอุสถอดบทเรียนเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งของจอห์นออกมาไว้เช่นนี้ ]
จอห์นผู้ซึ่งสนุกกับชีวิตมาก ไม่ว่าเขาจะทำงานหนักแค่ไหน แต่หลังจากใช้เวลาหลายปีมันก็เพียงพอสำหรับเขา "มันดีแล้ว ผมทำงานหนักมามากพอแล้ว" นี่คือสิ่งที่ดาริอุสได้เรียนรู้จากเรื่องราวของจอห์น
- เขาตระหนักว่าเขาไม่สามารถรวยได้จากการทำงานให้คนอื่น
- เขาเริ่มธุรกิจของตัวเอง
- เขาสร้างบริษัทเป็นเวลาเกือบ 20 ปี
- เขาขายบริษัทเมื่อมันเป็นธุรกิจที่มั่นคงและทำกำไร
- เขานำเงินที่ได้จากธุรกิจไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- ตอนนี้เขาสนุกกับชีวิตและใช้เวลากับครอบครัว
กรณีศึกษาที่ 2: คนชอบการแข่งขัน
ไบรอัน อายุประมาณห้าสิบปลายๆ ไบรอันคนนี้เป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดที่ดาริอุสรู้จัก เขามีเป็นเจ้าของโรงงานระดับนานาชาติที่มีพนักงานมากกว่าพันคน ไบรอันน่าจะมีทรัพย์สินราว 50 ล้านดอลลาร์ หรืออาจจะมากกว่านั้น เขามีคฤหาสน์ รถหรู บ้านพักตากอากาศในต่างประเทศ และการลงทุนมากมายในธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ
ชีวิตส่วนตัวของเขาไม่ค่อยสวยงามนัก เขาสูญเสียภรรยาตอนอายุ 40 ต้นๆ และคนใกล้ชิดบอกว่ามันส่งผลกระทบต่อเขามาก กว่าเขาจะแต่งงานใหม่ก็ผ่านไป 18 ปี ไบรอันชอบภาพยนตร์และรถยนต์ เขาไม่สนใจเรื่องพวกการออกกำลังกาย การท่องเที่ยว การอ่าน และไม่มีงานอดิเรกที่ เขามักจะไปตีกอล์ฟบ้าง แต่นั่นก็เพราะคนรวยคนอื่นๆ เล่นด้วยมากกว่า
ไบรอันเป็นลูกคนเดียวจากครอบครัวชนชั้นแรงงาน ก่อนจะประสบความสำเร็จของเป็นวิศวกร และเริ่มทำโรงงานของตัวเองตอนอายุสามสิบปลายๆ เขาชอบการแข่งขันสูงและมุ่งมั่นในการทำธุรกิจมาก
เขาเริ่มต้นจาก 0 และปั้นบริษัทให้โตไปถึง 10 ล้านเหรียญได้ภายในเวลาประมาณ 5 ปี ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการที่เขาทำงาน 365 วันต่อปี คนรอบตัวของเขาบอกว่านั่นคือสิ่งเดียวที่เขาทำ เขามีสำนักงานทั่วโลก และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เขาได้เข้าซื้อกิจการหลายบริษัทในอุตสาหกรรมของเขา
"ผมชอบธุรกิจ" นี่คือคำตอบของเขาเมื่อถูกถามว่าทำไมเขาถึงทำในสิ่งที่ทำอยู่ และเพราะเขาเป็นคนแบบนั้น เขาแค่ทำและไม่หยุด แต่เขาไม่ได้สร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง เขามีที่ปรึกษาและหุ้นส่วนที่ประสบความสำเร็จซึ่งลงทุนในธุรกิจของเขาตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขายังคงเป็นหุ้นส่วนกันจนถึงทุกวันนี้ หากไม่มีการสนับสนุนแบบนั้น เขาคงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้
ไบรอันเป็นคนที่ชอบเผชิญหน้า เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างเขากับผู้เล่นรายใหญ่อีกรายในตลาด เขาจะพูดว่า "ผมไม่สนว่าพวกเขาเป็นใคร ผมจะไม่หยุดจนกว่าผมจะชนะ"
[ บทเรียนเกี่ยวกับการสร้างความมั่งคั่งที่ดาริอุสถอดมาจากเรื่องของไบรอัน ]
ดาริอุสกล่าวไว้าว่าตัวเขาเองไม่ได้รู้จักไบรอันดีเท่าจอห์นหรอก เพราะคนที่ชอบการแข่งขันมักไม่เปิดเผยตัวเองง่ายๆ พวกเขาทำแค่อย่างเดียว “เล่นเพื่อชนะ” นั่นคือสิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจ และในกรณีของไบรอัน เขาเก่งมากในเรื่องนี้ เขาค้นพบว่าคนรวยที่ชอบการแข่งขันอย่างไบรอัน
- ทำงานเกือบตลอดเวลา
- มีที่ปรึกษาและผู้สนับสนุนที่ช่วยเหลือเขา
- วิธีหลักในการสร้างความมั่งคั่งของเขาคือการซื้อและลงทุนในธุรกิจ (รวมถึงธุรกิจของตัวเอง)
- เขาเป็นคนรักความเป็นส่วนตัวและมีวงสังคมแคบ
- เขาไม่หยุดสร้างความมั่งคั่ง
- การจะรวยจริงๆ คุณต้องรักการแข่งขันมาก
นอกจากเรื่องการเสียสละตัวเองเพื่อการเอาชนะในธุรกิจแล้ว ดาริอุสยังค้นพบว่าไบรอันชอบที่จะทำการกุศลและมีพนักงานส่วนใหญ่ในบริษัทล้วนทำงานให้เขามาหลายปีเพราะเขาดูแลพนักงานเหล่านั้นเป็นอย่างดี
[ บทสรุป ]
จาก 2 กรณีศึกษาของ ไบรอันและจอห์น เราจะเห็นได้ว่าการที่ทั้งสองคนประสบความสำเร็จในระดับที่ใครหลายคนอยากจะไปให้ถึง ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และคนรวยธรรมดาๆ แบบที่ไม่ใช่คนรวยระดับโลก ก็ล้วนมีเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน เราทุกคนเห็นเรื่องราวของผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพที่เป็นเศรษฐีหรือนักเก็งกำไรบิตคอยน์ เรื่องทั้งหมดนั้นทำให้ดูเหมือนว่าการรวยเป็นเหมือนการถูกล็อตเตอรี่ แต่นั่นไม่จริง สำหรับคนรวยส่วนใหญ่ มันคือการต่อสู้ดิ้นรน และการดิ้นรนนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย มีคนน้อยมากที่รวยเพราะโชคดี
คำถามที่คุณควรถามตัวเองถ้าคุณอยากรวยคือ คุณเต็มใจที่จะจ่ายราคานั้นหรือไม่? เพราะการจะไปถึงความมั่งคั่ง คุณต้องเดินไปในทางที่คนส่วนใหญ่ไม่ไป
ดาริอุสทิ้งท้ายไว้ว่า การสร้างความมั่งคั่งจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของคณิตศาสตร์ เพราะถ้าความมั่งคั่งมันหาได้ง่ายขนาดนั้น นักคณิตศาสตร์ทุกคนบนโลกก็คงจะเป็นเศรษฐีกันหมดแล้ว การจะรวยต้องอาศัยบางสิ่งที่ลึกซึ้งและเป็นเอกลักษณ์มากกว่า หากมีใครสักคนเสนอ “สูตรลับ” หรือ “พิมพ์เขียวการหาเงิน” ให้คุณ ลองถามตัวเองว่า คุณอาจต้องลองถามตัวเองว่า ถ้ามันดีขนาดนั้น ทำไมเขาไม่ใช้มันเอง? นั่นเป็นเหตุผลที่ถ้าเราอยากจะมั่งคั่ง เราต้องเดินทางออกไปหามันเอง
มีคำกล่าวของเฮนรี่ เดวิด ธอโรว์ ได้อธิบายไว้ว่า “ความสำเร็จมักจะมาหาคนที่ยุ่งเกินกว่าจะมองหามัน”
ดังนั้น ถ้าคุณกำลังทุ่มเทเวลาและความพยายามให้กับบางสิ่งในระยะเวลานานพอ คุณย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น เช่นเดียวกับการสร้างความมั่งคั่ง คุณแค่ต้องหาวิธีที่ได้ผลและไม่หยุดพยายาม
#aomMONEY #MakeRich #เศรษฐี #รวย #เงินเก็บ #แนวคิด
5 บันทึก
9
3
5
9
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย