3 มิ.ย. เวลา 15:29 • หนังสือ

ศพหกเหียน

!! Sponsored Review !!
อ่านจบมาเกือบอาทิตย์แต่เพิ่งมีเวลาเขียน สำหรับ #ศพหกเหียน จาก Shadow Publishing เป็นผลงานเล่มที่ 3 และเล่มสุดท้ายในซีรีส์ที่มี "ไตรตรึงษ์" และ "เสือโคร่ง" เป็นตัวเอก โดยยังรักษาจุดเด่นของลักษณะคดีที่มีความโหดเหี้ยมและน่าสยดสยองตามแบบฉบับของจักรวาล "กาหลมหรทึก" ไว้ได้ครบถ้วน ใครที่ชอบก็คงจะชอบไปเลย แต่ใครที่ไม่ใช่สายดาร์ก (แบบจิตๆ) แนะนำว่าให้เลี่ยงจะดีกว่า 😅
ในเล่มนี้สองเพื่อนซี้จะต้องรับมือกับคดีที่ยากเย็นยิ่งกว่าครั้งไหน ข้อมูลที่ไตรตรึงษ์ได้รับจากนายตำรวจรุ่นพี่ที่ขอให้ช่วยสืบคดีลักพาตัวต่อเนื่อง มีเพียงแค่รายชื่อเหยื่อทั้งหมด 13 รายที่หายตัวไปในระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มีชื่อปรากฏว่าเป็นบุคคลสูญหาย แต่ก็มีบางรายที่รอดกลับมาได้เช่นกัน ทว่าเมื่อนำข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อมาเทียบเคียง ไตรตรึงษ์กลับไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ยากที่จะเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกัน
แต่แล้วเมื่อเขาเริ่มติดต่อกับเหยื่อที่รอดชีวิตและคนรอบตัวเหยื่อที่สูญหายเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม ก็เริ่มมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น ทั้งถูกลักพาตัว ถูกข่มขู่ และบางรายก็ถึงขั้นถูกฆ่า นั่นจึงทำให้ไตรตรึงษ์มั่นใจว่าคดีนี้่เป็นของจริง และใครบางคนที่มีอำนาจล้นมือก็กำลังพยายามปกปิดเรื่องอื้อฉาวครั้งนี้เอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะแม้กระทั่งตัวเขาเองที่อยู่ในแสงสปอร์ตไลท์ และมีบารมีของผู้เป็นพ่อคุ้มหัวอยู่ ยังเอาตัวแทบไม่รอดเลย
นับตั้งแต่กาหลมหรทึก, ลิงพาดกลอน, และอโศกสาง นักเขียนมักจะหยิบโคลงกลอน ตรากฎหมาย หรือวรรณกรรมไทยในยุคอดีตมาผูกเป็นปริศนาของเรื่องอยู่เสมอ เช่นเดียวกันกับหนังสือเล่มนี้ที่นักเขียนได้เลือก "ไม้ดัด" ซึ่งเป็นงานศิลปะแบบโบราณที่หาดูได้ยากมาใช้เป็นธีมหลักของเรื่อง ผสมเข้ากับความแฟนตาซีเล็กๆที่ช่วยให้เนื้อหามีลูกเล่นมากขึ้น รวมๆแล้วก็น่าสนใจพอสมควรเลย
สิ่งที่อยากชื่นชมมานานคือไอเดียการนำเสนอ "ของเก่า" ของนักเขียนที่ช่วยให้คนรุ่นหลังได้รู้จักวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยมากขึ้น อย่างเราเองก็ไม่เคยรู้ว่าประเทศไทยมีตำราไม้ดัดของตัวเอง เพราะถ้าได้ยินคำว่าไม้ดัดทีไรก็มักจะคิดไปถึง "บอนไซ" ทุกที แต่พอลองไปเสิร์ชข้อมูลเพิ่มก็เจอว่าหลายแบบเราก็เคยเห็นผ่านตามาแล้ว แค่ไม่รู้ว่ามันคือไม้ที่คนเลี้ยงเขาตั้งใจดัดให้ออกมาเป็นรูปทรง แถมยังมีชื่อเรียกเฉพาะอีกต่างหาก หลงคิดว่ามันโตขึ้นมาเป็นทรงแบบนั้นตามธรรมชาติมาตั้งนาน 🤣
ในส่วนของประเด็นซึ่งเป็นแก่นของเรื่อง เรามองว่าไม่ได้แตกต่างกับเล่มแรกมากนัก (ส่วนเล่มที่สองนั้นไม่เคยอ่าน) ตัวยืนพื้นหลักยังคงเป็นการงัดข้อกันระหว่างอดีตนายตำรวจผู้หมดศรัทธาในระบบการทำงานกับผู้มีอำนาจที่สามารถเปลี่ยนผิดให้เป็นถูกได้ทุกเมื่อ และทั้งสองเล่มก็ยังคงมีเนื้อหาที่เป็นดั่งภาพสะท้อนของปัญหาในสังคม โดยเล่มแรกจะชวนเราตั้งคำถามถึงคำว่ามนุษยธรรมผ่านตัวละครต่างด้าว แต่เล่มนี้จะนำเสนอปัญหาที่คนยุคปัจจุบันเลือกจะมีลูกกันน้อยลง
เพราะแม้ว่ารัฐจะพยายามออกมาตรการในการจูงใจให้คนมีลูก เพื่อหวังจะเพิ่มอัตราการเกิดของประชากร แต่คนรุ่นใหม่หลายคนได้ประเมินแล้วว่าสภาพแวดล้อมของสังคมนั้นไม่เอื้อต่อการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตอย่างมีคุณภาพได้ ข่าวร้ายที่เกิดกับเด็กเล็กมีมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้งตามหน้าสื่อ และมีจำนวนไม่น้อยที่ผู้ก่อเหตุเองก็ยังเป็นเด็กวัยไล่เลี่ยกันที่ไม่ได้รับการขัดเกลาอย่างเหมาะสมตามช่วงวัยของตน เพราะผู้ปกครองไม่มีเวลาใส่ใจดูแลด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไปตามแต่ละครอบครัว
นำมาสู่คำถามที่ว่า มันจะดีกว่าไหมถ้าเราให้ความสำคัญกับคุณภาพของประชากรมากกว่าปริมาณ แทนที่จะจูงใจด้วยเงินสงเคราะห์บุตรรายเดือนที่ไม่ได้สักเสี้ยวของค่าใช้จ่าย เปลี่ยนเป็นการโน้มน้าวให้คนอยากมีลูกด้วยการสรรค์สร้างสังคมที่ปลอดภัย เป็นมิตรกับเด็ก พัฒนาระบบการศึกษาให้เข้าถึงง่ายและราคาถูก เพื่อที่ผู้ปกครองจะได้ไม่ต้องทำงานหาเงินหามรุ่งหามค่ำ ทำให้สามารถใช้เวลาร่วมกันกับบุตรหลานได้มากขึ้น โดยเฉพาะในวัยที่เขากำลังต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดและคำชี้แนะที่เหมาะสมจากผู้ใหญ่
เพราะมันจะมีประโยชน์อะไรหากเรามีจำนวนเด็กเกิดใหม่ที่จะเติบโตมาเป็นฟันเฟืองหลักของประเทศมหาศาล แต่ส่วนใหญ่กลับขาดคุณสมบัติของการเป็นพลเมืองที่ดี เหมือนอย่างเด็กๆในเรื่องนี้ที่ถูกทำให้เกิดมาเพื่อสนองความต้องการอันบิดเบี้ยวของใครบางคน และสุดท้ายก็ถูกปล่อยปละละเลยจากพ่อแม่ที่ไม่ได้ต้องการพวกเขา ก่อให้เกิดเรื่องราวโศกนาฏกรรมสุดซับซ้อนที่ต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปีในการทวงคืนความยุติธรรม
ใครชอบนิยายสืบสวนแนวหม่นๆ ไปโดนกันได้ที่ 👉🏻 https://s.shopee.co.th/9ACaE4SL0J แต่เตือนอีกทีว่าคนจิตอ่อนให้หนีไป!!
โฆษณา