Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Colder Solution สารทำความเย็น โรงงานอุตสาหกรรม
•
ติดตาม
3 มิ.ย. เวลา 21:51 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
HOW TO เปลี่ยน น้ำยาแอร์ อย่างมือโปร
ถ้าคุณเป็นคนที่กำลังคิดจะเปลี่ยนน้ำยาแอร์จากกลุ่ม HCFC/HFC มาใช้ HFO การศึกษาข้อมูลทางเทคนิค จาก Spec Sheet/Data Sheet เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าสารทำความเย็นตัวใหม่จะเข้ากับระบบของคุณได้อย่างเหมาะสม
โดยนอกจากเรื่องพื้นฐานอย่างชื่อและประเภทสาร เช่น R-134a (HFC), R-1234yf (HFO),อัตราส่วนผสม (Composition, CAS no.) เพื่อยืนยันสารเคมีที่ใช้ ยังมีอีกหลายจุดที่ควรพิจารณาใน Data Sheet ที่ควรดูให้ครบถ้วนดังต่อไปนี้
• แรงดันอิ่มตัว (Saturation Pressure)
แรงดันอิ่มตัว ของสารทำความเย็นใหม่ ที่อุณหภูมิระเหยและควบแน่นตามการใช้งานจริง ควรใกล้เคียงกับน้ำยาเดิม แรงดันอิ่มตัวที่แตกต่างกันมากอาจทำให้คอมเพรสเซอร์และอุปกรณ์ความดันอื่นๆ ต้องรับภาระเพิ่มขึ้น ถ้าความดันต่างกันมาก อาจต้องมีการเปลี่ยนอุปกรณ์ในระบบทำความเย็นใหม่
📄 ตัวอย่างเช่น R-1234yf (HFO) มีความดัน-อุณหภูมิใกล้เคียงกับ R-134a (HFC) เกือบตลอดช่วงการทำงาน ปรับต่างกันเพียงเล็กน้อยที่ช่วงอุณหภูมิสูงสุด จึงสามารถทดแทนกันได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์มากนัก
• จุดเดือด (Boiling Point)
เมื่อ จุดเดือดต่ำมาก (เช่น ต่ำกว่า -40°C) = แรงดันสูง, จุดเดือดสูง = แรงดันต่ำ Boiling Point จะบ่งบอกถึงลักษณะการทำงานแรงดันของสารทำความเย็น
📄 ตัวอย่างเช่น R-1234yf มีจุดเดือดประมาณ -29°C ซึ่งใกล้เคียงกับ R-134a ที่ -26°C จึงยังอยู่ในกลุ่มแรงดันและอุณหภูมิที่คล้ายกันกับระบบเดิม แต่ถ้าสารใหม่มีจุดเดือดแตกต่างมาก (เช่น HFO บางชนิดที่จุดเดือดสูงกว่ามาก) อาจส่งผลให้ต้องออกแบบระบบใหม่ที่ทำงานในสูญญากาศหรือ เปลี่ยนคอมเพรสเซอร์ใหม่
นอกจากนี้ยังมี คุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆ เช่น ความหนาแน่น (Density) ที่ส่งผลต่อปริมาณน้ำยาที่ต้องใช้ รวมถึงความร้อนแฝง (Latent Heat) ที่บ่งบอกถึงความสามารถในการดูดซับหรือคายความร้อนได้อีกด้วย
• ค่า GWP และ ODP
ศักยภาพภาวะโลกร้อน GWP (Global Warming Potential), ODP ศักยภาพการทำลายชั้นโอโซน (Ozone Depletion Potential) และ ระยะเวลาในชั้นบรรยากาศ (Atmospheric Lifetime) ที่จะระบุว่าน้ำยาจะคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมนานแค่ไหน
🌿 ค่า GWP ที่ต่ำลงมาก เป็นเหตุผลหลักที่หลายคนเปลี่ยนมาใช้สารทำความเย็น
📄 เช่น R-1234yf มีค่า GWP ต่ำกว่า 1 และ ODP เป็น 0 ซึ่งต่ำกว่าค่า GWP ของ R-134a (1430) อย่างมหาศาล การทราบตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้มั่นใจว่าสารใหม่สอดคล้องตามข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม
• ระดับความปลอดภัยตามมาตรฐาน ASHRAE
Safety Class ของสารทำความเย็นตามมาตรฐาน ASHRAE ใน datasheet จะมีการระบุเป็นกลุ่มเช่น A1, A2L, A2 หรือ B3 เป็นต้น
โดยตัวอักษรแรก (A หรือ B) หมายถึงความเป็นพิษ และตัวเลขถัดไปบ่งบอกระดับการติดไฟ เช่น 1 = ไม่ติดไฟ, 2L = ติดไฟได้เล็กน้อย, 2 = ติดไฟ, 3 = ติดไฟสูง
🔗 อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ :
https://www.coldersolution.co.th/.../07/Refrigerant-type/
การทราบ Class ของสารใหม่มีความสำคัญมาก เช่น ถ้าสารเดิมเป็นกลุ่ม A1 ที่ไม่มีการติดไฟ แต่สาร HFO ใหม่จัดเป็น A2L ที่ติดไฟได้ระดับต่ำ ผู้ใช้งานต้องคำนึงถึงมาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การระบายอากาศ ป้องกันแหล่งจุดประกายไฟ และอุปกรณ์ตรวจจับการรั่ว
• ความเข้ากันได้กับน้ำมันหล่อลื่นและอุปกรณ์เดิม (Compatibility)
ความเข้ากันได้กับน้ำมัน (lubricant compatibility) เป็นจุดที่มองข้ามไม่ได้ในการเปลี่ยนสารทำความเย็น ผู้ใช้ควรตรวจสอบจาก datasheet หรือคู่มือผู้ผลิตว่าสารทำความเย็นใหม่ ต้องใช้น้ำมันชนิดใด เช่น โพลีออลเอสเทอร์ (POE) หรือโพลีอัลคาลีนไกลคอล (PAG) เป็นต้น
กรณีที่เปลี่ยนจากระบบเดิมที่ใช้น้ำมันแร่ (mineral oil) หรืออัลคิลเบนซีน (AB) มาก่อน จำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้น้ำมันสังเคราะห์ POE แทน หากใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ไม่เข้ากัน อาจทำให้การหล่อลื่นไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้เกิดการอุดตันขึ้นได้
ในเรื่องของวัสดุของอุปกรณ์เดิม สารทำความเย็นแต่ละชนิดอาจมีผลต่อซีลยาง โอริง ท่อ วาล์ว และวัสดุอื่นๆ แตกต่างกัน บางชนิดอาจทำให้ยางพองตัวหรือหดตัว ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนไปใช้วัสดุประเภทอื่นที่ทนสารเคมีและน้ำมันใหม่ได้
ใน Retrofit Guide ของสารทำความเย็นมักจะระบุรายการวัสดุที่เข้ากันได้ (materials compatibility)
นอกจากนี้ควรตรวจสอบว่าคอมเพรสเซอร์และอุปกรณ์หลักอื่นๆ ในระบบเดิม “รองรับ” การใช้สาร HFO ใหม่หรือไม่ โดยดูจากคำแนะนำของผู้ผลิตอุปกรณ์ เพื่อป้องกันการรั่วไหลและความเสียหายระยะยาว
• ประสิทธิภาพการทำงานและสมรรถนะความเย็น
ควรพิจารณาจากข้อมูลเช่นค่าประสิทธิภาพพลังงาน (COP) และ ค่าความจุความเย็น (Capacity) โดยทั่วไป HFO จำนวนมากถูกพัฒนาให้มีสมรรถนะใกล้เคียงกับสาร HFC
มีงานวิจัยเปรียบเทียบ พบว่า COP ของ R-1234yf ต่ำกว่า R-134a เล็กน้อย (ประมาณ 0.8–2.7%) ข้อมูลนี้จะช่วยให้เราประเมินได้ว่าระบบจะกินไฟมากขึ้นหรือน้อยลงเพียงใด หรือจำเป็นต้องปรับปรุงอุปกรณ์เพื่อชดเชยกำลังความเย็นที่เปลี่ยนไปหรือไม่
ค่า Thermodynamic Performance COP ที่บ่งบอกว่า ยิ่งสูง ยิ่งประหยัดพลังงาน ค่าต่างๆ อย่าง Enthalpy, Specific Heat, Conductivity จะมีผลต่อการออกแบบและประสิทธิภาพระบบ รวมถึง Capacity จะบอกว่าสารทำความเย็นใหม่ให้ความเย็นมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบของเดิม
• อุณหภูมิวิกฤต (Critical Temperature)
อุณหภูมิวิกฤต คืออุณหภูมิสูงสุดที่สารทำความเย็นสามารถกลั่นตัวเป็นของเหลวได้ ค่านี้จาก Datasheet มีความสำคัญต่อการออกแบบและการใช้งานระบบในสภาพอากาศร้อน
ถ้าอุณหภูมิวิกฤตของสารทำความเย็นใหม่ต่ำเกินไป อาจทำให้ระบบทำงานไม่ดีในวันที่อากาศร้อนจัด R-1234yf (95°C) สามารถใช้แทน R-134a ได้ เนื่องจาก Critical temp ใกล้เคียง R-134a (~102°C)
• Temperature Glide
Temperature Glide คือช่วงอุณหภูมิที่สารทำความเย็นแบบ สารผสม (Zeotropic blend) ค่อยๆ เปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นไอ หรือจากไอเป็นของเหลว ที่ความดันเดียวกัน โดยจะไม่เปลี่ยนสถานะที่อุณหภูมิเดียวเหมือนกับสารบริสุทธิ์ (Pure substance)
เช่น ถ้าเป็นสารบริสุทธิ์อย่าง R-134a พอถึงจุดเดือดที่ความดันหนึ่ง ก็จะเดือดทั้งชุดที่อุณหภูมินั้น แต่ถ้าเป็นสารผสมอย่าง R-448A จะเริ่มระเหยที่อุณหภูมิหนึ่ง (Bubble point) และจบการระเหยเป็นไอที่อุณหภูมิอีกจุดหนึ่ง (Dew point) ซึ่งอุณหภูมิสองจุดนี้อาจต่างกันประมาณ 5–6 องศา ซึ่งเรียกว่าค่า Glide
ซึ่งส่งผลต่อการออกแบบและควบคุมระบบ เพราะความร้อนจะแลกเปลี่ยนในช่วงอุณหภูมิ ไม่ใช่อุณหภูมิคงที่ ทำให้การคำนวณประสิทธิภาพและการตั้งค่าอุปกรณ์ต้องปรับให้เหมาะ เช่น การตั้งค่า Superheat ต้องใช้ค่า Dew Point เป็นฐาน และยังส่งผลต่อการเติมสารทำความเย็นอีกด้วย ถ้ามีการรั่วหรือเติมผิดวิธี อาจทำให้สัดส่วนสารในระบบเปลี่ยนไป (fractionation) ซึ่งทำให้สมรรถนะลดลง
• SDS (Safety Data Sheet)
SDS มีไว้เพื่อให้ผู้ใช้งาน เข้าใจความเสี่ยง และ รู้วิธีใช้งานอย่างปลอดภัย รวมถึงแนวทางรับมือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งในคู่มือจะระบุตั้งแต่ ชื่อสารทำความเย็น องค์ประกอบสารเคมี (เช่น ส่วนผสมต่างๆ และเปอร์เซ็นต์), อันตรายที่อาจเกิดขึ้น แนวทางจัดการในการรั่วไหล การจัดเก็บและขนส่งอย่างปลอดภัย
รวมถึง ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและการกำจัดของเสีย เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานและบุคลากรในพื้นที่
📍 สรุปแล้ว
การเปลี่ยนมาใช้สารทำความเย็นกลุ่ม HFO จำเป็นต้อง ตรวจสอบข้อมูลสำคัญในแผ่นข้อมูลทางเทคนิคอย่างรอบด้าน ตลอดจนวิธีการเติมสารและขั้นตอนจัดการเมื่อสารรั่วไหล โดยเฉพาะความปลอดภัยและความเข้ากันได้ของระบบเดิม การศึกษาข้อมูลคุณสมบัติของสารทำความเย็นใหม่จาก Data Sheet อย่างละเอียดจะช่วยรับประกันว่า ระบบทำความเย็นของคุณ จะสามารถใช้งานสาร HFO ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามที่คาดหวัง
⚠️ อย่าลืมขอ Retrofit Guide จากผู้จำหน่ายเสมอ
หากมีการเปลี่ยนไปใช้สารทำความเย็นที่ต่างจากประเภทเดิม เช่น จาก HFC เป็น HFO จำเป็นต้องของ Retrofit Guide จากผู้จำหน่ายน้ำยาแอร์อยู่เสมอ ใน Retrofit Guide คู่มือนี้จะบอกคุณแบบ step-by-step ว่าต้องตรวจอะไร เปลี่ยนอะไร ล้างอะไร และควรระวังอะไรบ้าง มันคือ "พิมพ์เขียว" สำหรับการเปลี่ยนสารทำความเย็นอย่างปลอดภัยและมั่นใจที่สุดค่ะ
สู่ปีที่ 11 𝗚𝗿𝗼𝘄𝗶𝗻𝗴 𝗚𝗿𝗲𝗲𝗻𝗲𝗿 l 𝗖𝗼𝗹𝗱𝗲𝗿 𝗦𝗼𝗹𝘂𝘁𝗶𝗼𝗻 ยืนหยัดในความเปลี่ยนแปลง สู่โลกที่ยั่งยืน
ติดต่อเรา :
Line id : @Colder หรือคลิก :
https://lin.ee/VEnKS4M
Website :
www.coldersolution.co.th
✉ Email :
kantawan.coldersolution@gmail.com
#HFO #น้ำยาแอร์ #สารทำความเย็น #ColderSolution
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย