4 มิ.ย. เวลา 03:42 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

‘Waterfall’ กลางวง Agile?!

“เมื่อ Product Manager ต้องเป็นมากกว่าผู้วางแผน”
เมื่อทีมคุณ "ปากบอก Agile" แต่ "ใจยัง Waterfall"...หายนะ หรือโอกาสทอง?
ในยุคที่องค์กรต่างพยายามประกาศตัวว่าเป็น Agile บ้างก็ Scrum บ้างก็ Lean — คำเหล่านี้กลายเป็นเครื่องแบบที่ดูดี มีชัย แต่ beneath the buzzword มีคำถามสำคัญที่หลายองค์กรไม่กล้าตอบ
"ทีมคุณ Agile จริง หรือแค่แต่งหน้า Agile?"
ถ้า "Daily Stand-up" กลายเป็นแค่เช็กลิสต์ที่ไม่มีใครตั้งคำถาม…เช่น
* ถ้าทุก sprint ต้อง "ส่งของแบบเสร็จสมบูรณ์" เหมือน waterfall ซ่อนรูป…
* ถ้า requirement ถูก final แล้ว lock เหมือนแผนการก่อสร้าง…
คุณอาจกำลังตกอยู่ในกับดักที่เรียกว่า "Waterfall ในคราบ Agile" โดยไม่รู้ตัว และผลลัพธ์ที่ตามมาอาจไม่ใช่แค่ "ส่งของช้า" หรือ "ทีมเหนื่อย" แต่คือ “การตัดขาดจากผู้ใช้ ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ และการล้มเหลวในการสร้าง impact ที่แท้จริง”
====
🩺 5 อาการเรื้อรังของ Fake Agile ที่ต้องเช็กให้ชัด (และอธิบายให้เห็นภาพจริง)
1. ”เริ่มต้นด้วย PRD 50 หน้า”
* ทุกอย่างต้องพร้อม 100% ก่อนเขียนโค้ด — สเปกต้องชัด ดีไซน์ต้อง final ไม่มีช่องให้ทดลองหรือ iterate
* เหมือนการวางผังสร้างคอนโดโดยยังไม่เคยคุยกับลูกค้าที่จะมาอยู่
2. “Design ต้องได้รับอนุมัติจากหลายฝ่าย” 
* ไม่มีการเรียนรู้ร่วมกันแบบ Design Sprint หรือ Crazy 8 — มีแต่ flow อนุมัติจากบนลงล่าง
* ทีมต้องทำ flowchart ส่งขึ้น 3 ชั้น พร้อมเซ็นต์ชื่อก่อนเขียนปุ่มเดียว
3. “Dev คือโรงงานผลิต ตามสเปกเท่านั้น” 
* ไม่เข้าใจ context ไม่ถาม user ไม่เสนอ idea — เขียนตาม Jira ticket ที่ส่งมาจากอีกดาวเคราะห์
* เหมือนเชฟที่ต้องทำอาหารจากสูตรที่ไม่เคยชิมเอง
4. “QA ทำงานตอนท้าย" 
* โยนงานทั้งหมดไปให้ QA ปิดท้าย ทำให้ feedback loop หายไป และความผิดพลาดกลายเป็นระเบิดเวลา
* ผลคือ bug ที่ควรจับตั้งแต่วันแรก กลายเป็น drama สัปดาห์ก่อน deploy
5. “ไม่มีใครพูดคำว่า 'ไม่รู้’”
* ทุกอย่างต้องแน่นอน ต้อง predict ได้ ต้องมั่นใจ 100% ทั้งที่ยังไม่มีใครได้คุยกับผู้ใช้เลยสักคน
* Culture แบบนี้ทำให้ innovation เป็นไปไม่ได้เลย
Agile ไม่ใช่กระบวนการที่ "ทำให้เร็ว" แต่คือวัฒนธรรมที่ "ยอมรับความไม่รู้ และออกแบบให้เรียนรู้เร็ว" ถ้าทีมคุณยังกลัวความเปลี่ยนแปลง...นั่นแหละ Waterfall ตัวจริง
====
🛠️ แต่เดี๋ยวก่อน… "Waterfall ไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไป"
ในสายตาของหลายคน Waterfall คือสัญลักษณ์ของระบบราชการ ความเชื่องช้า หรือวิธีคิดยุคเก่า แต่หากมองลึกลงไป — มันมีบริบทเฉพาะที่ยังคงเหมาะสม และอาจจะ 'จำเป็น' มากกว่าที่คิด
The Product Book ระบุชัดเจนว่า Waterfall เหมาะกับโปรเจกต์ที่ต้องการ "ความแน่นอนสูง" และ "พื้นที่สำหรับความผิดพลาดแทบไม่มี" เช่น
* การก่อสร้างอาคารสูงหรือโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพาน ระบบไฟฟ้า หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่ต้องมีแบบแปลนชัดเจน ลำดับขั้นตอนการดำเนินการที่แม่นยำ และผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัยแบบเข้มงวด
* ระบบควบคุมความปลอดภัยระดับชีวิต เช่น ระบบการบิน (avionics), ระบบควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม, หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรับรองจาก FDA หรือ CE Marking ซึ่งทุก requirement ต้องถูกตรวจสอบและ trace ได้
* โครงการภาครัฐ เช่น โครงการจัดซื้อจัดจ้างที่ต้องทำ TOR, RFP และสัญญาล่วงหน้าอย่างละเอียด โดยมีกรอบเวลางบประมาณ และข้อกำหนดทางกฎหมายชัดเจน
เพราะอะไรถึงเหมาะ? เพราะในสถานการณ์เหล่านี้ การเปลี่ยน requirement ระหว่างทางอาจทำให้โครงการล่าช้า งบบานปลาย หรือที่ร้ายที่สุด — เกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายด้านชีวิตและทรัพย์สิน
* ยกตัวอย่าง: NASA ใช้รูปแบบ Waterfall อย่างเข้มงวดในโครงการพัฒนา 'ระบบนำทางของยานอวกาศ' เนื่องจากการทดสอบในอวกาศทำได้ยากและมีต้นทุนสูงมาก ทุก module ต้องผ่าน simulation และ integration test อย่างเข้มงวดก่อนปล่อยขึ้นสู่วงโคจร
* หรือในกรณีของระบบรถไฟความเร็วสูงในญี่ปุ่น (เช่น Shinkansen) ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบควบคุมใช้แนวคิดแบบ Waterfall ผสม V-Model เพื่อให้มั่นใจว่า logic ควบคุมความเร็ว ความปลอดภัย และเวลารถเข้าออกสถานี จะไม่เกิดข้อผิดพลาดแม้แต่เสี้ยววินาที
จุดอันตรายคือ — หลายองค์กรเข้าใจผิด คิดว่าตัวเองอยู่ในโลกที่แน่นอน ทั้งที่ผลิตภัณฑ์ยังไม่เคยสัมผัสผู้ใช้จริงแม้แต่น้อย!
“ตัวอย่างเชิงลบที่คนขายของมักมายกเคสว่า “Waterfall” ผิด โดยเฉพาะเมื่อมาขายใน Tech Company”
เช่น บริษัท tech ที่พัฒนา digital platform ใหม่ในตลาดแข่งขันสูง แต่เลือกใช้ TOR แบบ rigid และ roadmap แบบปิดตาย ไม่มี prototype, ไม่มี user interview, และไม่เคยนำ solution ไปทดสอบกับลูกค้าจริงก่อน dev — ผลคือ product เสร็จแต่ไม่มีใครใช้ ต้องกลับมา rework แทบทั้งหมด
สรุปคือ Waterfall ไม่ได้ผิด แต่ต้องเลือกใช้ให้ถูกกับความจริงของบริบทนั้นๆ — ถ้าทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว ต้องเรียนรู้จาก feedback ตลอดเวลา Agile จะตอบโจทย์กว่า แต่ถ้า context ต้องเป๊ะ ไม่มีพื้นที่ให้ลองผิด — Waterfall ก็อาจเป็นพระเอกในเงามืดได้เช่นกัน
====
🎯 แล้วบทบาทของ Product Manager ใน Waterfall ล่ะ?
หลายคนคิดว่า Waterfall ไม่ต้องมี PM เพราะทุกอย่างล็อกไว้แล้ว…ผิดครับ!
PM ที่ดีในโลก Waterfall คือ "ผู้ที่ต้อง validate อย่างถึงที่สุด” ก่อนสิ่งใดจะเคลื่อน — ต้องเข้าใจว่า PRD ที่ final นั้น สร้างจากการเข้าใจ user จริง หรือแค่ "ความเชื่อ" ของ stakeholder?
* ทำ User Research อย่างเข้มข้นก่อนเริ่ม (ไม่ใช่แค่สรุป assumption จากห้องประชุม)
* ทดสอบไอเดียกับตลาดเบื้องต้น เช่น ผ่าน Landing Page หรือ Focus Group
* ทำ Prototype เชิงแนวคิดก่อนสร้างของจริง (แม้ Waterfall ก็ทำได้ ถ้ากล้าคิด)
* สร้าง micro-feedback loop แม้ในกระบวนการลำดับขั้น เช่น หา testable idea แทรกระหว่าง Stage
และที่สำคัญที่สุด — PM ต้องกล้าเป็นคนบอกว่า "เรายังไม่รู้" และหยุดวงจรการสร้างของใหญ่ที่ user ไม่เคยต้องการ
====
🔍 คุณกำลังใช้ DNA แบบไหนจริงๆ? (และจะออกจากกับดัก Waterfall ได้อย่างไร?)
แทนที่จะถามว่า "คุณใช้ Agile หรือ Waterfall" — คำถามที่สำคัญกว่าคือ
"DNA ของทีมคุณ 'ยืดหยุ่นพอ' สำหรับโลกที่เปลี่ยนเร็วหรือเปล่า?"
เราขอชวนคุณส่องกระจก 5 ประเด็นสำคัญ เพื่อดูว่าองค์กรของคุณมี DNA แบบ "เรียนรู้และปรับตัว" หรือยังติดอยู่กับแนวคิด "ควบคุมและคาดการณ์" แบบ Waterfall อยู่หรือไม่?
1. Requirement เปลี่ยนได้ไหม?
* “ถ้า feedback จากผู้ใช้เข้ามา ทีมคุณพร้อมปรับ product backlog เลยไหม?” vs “ทุกอย่างต้อง "ตามแผน" ที่วางไว้ตั้งแต่ 3 เดือนก่อน?”
2. วางแผนแบบไหน?
* “คุณใช้การวางแผนแบบ timeboxed (เช่น Sprint 2 สัปดาห์)?” vs “Roadmap แน่นทุกจุดล่วงหน้าแบบ Gantt chart?”
3. ทำงานแยกหรือร่วม?
* “ทีมคุณมี Dev, UX, Biz ร่วมวงใน discussion เดียวกัน” vs “แต่ละฝ่ายทำงานแบบต่อไม้ relay — ส่งต่องานกันไปมาโดยไม่ได้มีภาพเดียวกัน?”
4. ผิดได้ไหม?
* “ทีมคุณกล้าทดลอง? มี safe space ให้พูดว่า "เรายังไม่รู้" ไหม?” vs “ทุก mistake คือสิ่งที่ต้องหาคนรับผิด?”
5. ปล่อยของบ่อยแค่ไหน?
* “คุณ deploy ของทุกสัปดาห์” vs “รอรวมทุกอย่างเป็น release ใหญ่ทีเดียวทุก quarter?”
👉 ถ้าทีมคุณตอบ "ฝั่งขวา” ของคำถามเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ — องค์กรคุณอาจกำลังทำอยู่ Waterfall อยู่แหละ แม้จะบอกรูปแบบเหมือนว่าทำ Agile
====
🔓 แล้วจะแก้ DNA นี้อย่างไร? กลยุทธ์ "เปลี่ยนทีละชั้น" เพื่อฝ่าทางตันของ Waterfall
การจะเปลี่ยนจาก Waterfall สู่ Agile จริง ไม่ได้หมายถึงเปลี่ยน framework หรืออบรม Scrum อย่างเดียว แต่คือการเปลี่ยนวัฒนธรรมทีมและพฤติกรรมรายวัน
1. เริ่มจาก micro-feedback: เลิกคิดว่าต้อง user test เฉพาะหลัง release ใหญ่ ลองเริ่มจากการส่ง prototype ง่ายๆ ให้ user จริง 3 คนดูภายใน 2 วัน
2. ผู้นำต้อง model ความไม่รู้: ถ้าหัวหน้าทีมกล้ายอมรับว่า "เรายังไม่รู้ว่าผู้ใช้จะชอบแบบไหน" คนอื่นจะกล้าลองผิดลองถูกตามมา
3. ปรับ KPI ใหม่: เลิกวัดแค่ส่งตามแผน เปลี่ยนมาเป็นวัด "คุณค่า" ที่ผู้ใช้รับไปได้จริง เช่น task success rate, feature adoption, หรือ user feedback score
4. หัดปล่อยของแบบไม่สมบูรณ์: ปล่อยทีละ feature (feature toggle), ใช้ dark launch หรือ A/B test เพื่อลดความเสี่ยงแต่เพิ่มการเรียนรู้
5. Build cross-functional pod: แทนที่จะมีแค่ทีม Dev หรือ UX แยกกัน ให้รวมทีมเล็กๆ ที่มีทุกมุมมอง (Design, Dev, Biz) แล้วปล่อยให้พวกเขา solve problem ร่วมกัน
อย่ารอให้ Agile เกิดจากนโยบายระดับบนเท่านั้น — ให้มันเริ่มจากการทดลองระดับทีมเล็ก แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์เป็นคนพูดแทน
Agile ไม่ใช่เป้าหมาย — แต่คือเครื่องมือในการ "เรียนรู้ให้เร็ว และล้มให้ลุกให้ไว” ในโลกที่เปลี่ยนตลอดเวลา
ถ้าทีมของคุณยังวางแผนทุกอย่างล่วงหน้าโดยไม่มีช่องว่างให้ลองผิด Agile แค่ชื่อก็ไม่มีความหมายครับ
====
💡 ดังนั้น ไม่ใช่แค่ชื่อ แต่คือ mindset และบริบท
อย่าหลงกับ Buzzword อย่าเชื่อว่า Agile เหมาะกับทุกอย่าง และอย่าคิดว่า Waterfall หมดสมัยแล้ว
“ถ้าผลิตภัณฑ์ของคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนเร็ว — Agile เป็น oxygen
ถ้าทุกอย่างถูกนิยามชัด และความเสี่ยงต้องเป็นศูนย์ — Waterfall คือรากฐาน
และไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร อย่าลืมว่า Product Manager คือตัวแปรที่ตัดสินความสำเร็จ ไม่ใช่แค่กระบวนการ”
เพราะสุดท้ายแล้ว Product ที่ดีไม่ใช่แค่ Deliver ตามแผน แต่คือการสร้าง "คุณค่าให้กับผู้ใช้" — ไม่ว่าจะใช้แผนแบบไหนก็ตาม
ในโลกของนวัตกรรม ไม่มีสูตรสำเร็จใดใช้ได้เสมอ — สิ่งที่สำคัญกว่า คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อ 'สิ่งที่กำลังสร้าง', 'บริบทที่กำลังทำ' และ 'ความจริงของทีมเราวันนี้' ต่างหาก
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#FakeAgile
#ProductManager
#ExecutionMatters
#KnowYourMethodology
โฆษณา