4 มิ.ย. เวลา 13:21 • หุ้น & เศรษฐกิจ

👻 สุสาน EV" กำลังเกิดที่จีน หั่นราคาสู้ตาย สุดท้ายเหลือแต่ซาก?

วันนี้จะมาชวนคุยเรื่องร้อนยิ่งกว่าอากาศบ้านเรา นั่นคือ "สงครามราคา รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในจีน" ค่ะ บอกเลยว่าศึกครั้งนี้มันดุเดือดเลือดพล่าน ชนิดที่ว่าค่ายรถยักษ์ใหญ่ต่างพากัน "หั่นราคา" กันแบบไม่เกรงใจใคร จนผู้บริโภคอย่างเราๆ ตาลาย ส่วนผู้ผลิตหลายรายก็อาจมีหนาวๆ ร้อนๆ ว่าจะรอดหรือจะร่วง
1
บางคนอาจจะเคยได้ยินข่าวช่วงต้นปี 2023 ที่จีนมีดีลสุดช็อก ซื้อรถ 1 คัน แถมฟรีอีก 1 คัน โอ้โห...ถึงจะเป็นโปรฯ สั้นๆ แต่ก็สะท้อนภาพการแข่งขันที่บ้าคลั่งได้เป็นอย่างดีเลยใช่ไหมคะ ล่าสุดเนี่ย ส่วนลดเฉลี่ยในตลาด EV จีนพุ่งทำสถิติใหม่สูงสุดถึง 16.8% ต่อคัน! มันเกิดอะไรขึ้นที่นั่น? แล้วสงครามนี้จะส่งผลกระทบมาถึงบ้านเราที่รถ EV จีนกำลังฮิตติดลมบนยังไงบ้าง? ไปเจาะลึกพร้อมกันเลยค่ะ
1
🔥 จุดไฟสงคราม: ใครเริ่ม? แล้วมันลามทุ่งได้ยังไง?
1
สงครามราคานี้ไม่ได้เกิดขึ้นปุบปับนะคะ แต่มันมีที่มาที่ไปอยู่หลายอย่างเลยค่ะ ลองนึกภาพตามนะคะ...
2
เดิมทีรัฐบาลจีนเขาอุ้มอุตสาหกรรม EV เต็มที่ มีทั้งเงินอุดหนุนคนซื้อ (สูงสุดคันละหมื่นกว่าหยวน หรือประมาณ 6-7 หมื่นบาท) ทั้งลดภาษีรถยนต์สันดาป แต่พอปลายปี 2022 นโยบายเหล่านี้ก็สิ้นสุดลงค่ะ เหมือนลูกที่กำลังหัดเดินแล้วพ่อแม่ปล่อยมือ ค่ายรถก็ต้องปรับตัวกันยกใหญ่
ซ้ำเติมด้วยมาตรฐานไอเสียใหม่ (China VI) ที่เข้มงวดขึ้น เริ่มใช้กรกฎาคม 2023 ทำให้รถรุ่นเก่าที่มาตรฐานไม่ถึง จะไม่สามารถขายต่อไม่ได้หลังกฎหมายบังคับ ค่ายรถก็เลยต้องรีบเทขายสต็อกเก่าแบบยอมขาดทุน แถมเศรษฐกิจจีนช่วงต้นปี 2023 ก็ดูจะซบเซา ยอดขายรถโดยรวมเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2023 ลดลงไปเกือบ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลาดไม่คึกคักแบบนี้ ค่ายรถก็เลยต้องใช้ยาแรงกระตุ้นยอดขาย นั่นก็คือ "การลดราคา" นั่นเองค่ะ
แล้วใครล่ะที่จุดพลุคนแรก? หลายเสียงชี้ไปที่ Tesla ยักษ์ใหญ่จากอเมริกาค่ะ โดยในเดือนมกราคม 2023 Tesla ประกาศลดราคารถรุ่นยอดฮิตอย่าง Model 3 และ Model Y ในจีนลงไปราวๆ 6-13% (Model 3 เริ่มต้นเหลือแค่ 229,900 หยวน หรือประมาณ 1 ล้านบาทนิดๆ) แรงสั่นสะเทือนนี้ทำเอาโชว์รูมค่ายอื่นเงียบเหงาไปชั่วขณะ เพราะลูกค้าพากันรอดูว่าค่ายจีนจะเอายังไงต่อ
3
แน่นอนว่าค่ายจีนก็ไม่ยอมน้อยหน้าค่ะ เดือนกุมภาพันธ์ 2023 ทั้ง BYD, XPeng, NIO ต่างก็เริ่มออกโปรโมชั่น ส่วนลด ของแถม มาสู้ศึก แม้บางค่ายจะลังเลกลัวเสียภาพลักษณ์แบรนด์พรีเมียม แต่สุดท้ายก็ทนแรงกดดันไม่ไหว ต้องกระโดดลงมาร่วมวงด้วย
3
สถานการณ์มันพีคสุดๆ ก็ตอนเดือนมีนาคม 2023 ค่ะ เมื่อค่ายรถยักษ์ใหญ่ของรัฐอย่าง ตงเฟิง มอเตอร์ (Dongfeng) ในมณฑลหูเป่ย ได้จับมือกับรัฐบาลท้องถิ่น จัดแคมเปญลดแหลก โดยบางรุ่นลดสูงสุดถึง 90,000 หยวน (ประมาณ 4.5 แสนบาท!) ก่อนจะตามมาด้วย กลุ่ม FAW อีกค่ายรัฐวิสาหกิจในมณฑลจี๋หลิน ที่ทุ่มงบสนับสนุนส่วนลดให้ลูกค้าเหมือนกัน
1
คราวนี้ล่ะค่ะ ทั้งแบรนด์จีน แบรนด์ต่างชาติ เกือบ 30 ยี่ห้อ (BMW, Honda ก็ไม่เว้น) พร้อมใจกันลดราคาแหลกลาญ บางรุ่นหั่นไปเป็นแสนหยวน จนนักวิเคราะห์บางคนถึงกับเรียกว่าเป็น "price massacre" หรือ "การฆ่าฟันด้วยราคา" กันเลยทีเดียว
สงครามยังไม่จบง่ายๆ ค่ะ ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2025 นี่เอง BYD ก็เปิดฉากบุกหนักอีกรอบ ประกาศลดราคารถยนต์ถึง 22 รุ่นรวด แถมบางรุ่นลดโหดถึง 34% เช่น รถ EV รุ่นเล็กยอดนิยมอย่าง BYD Seagull ราคาเริ่มต้นเหลือแค่ 55,800 หยวน (ประมาณ 2.8 แสนบาท) เท่านั้น จากเดิมที่เคยขายกันเกือบหมื่นดอลลาร์ หรือรถซีดานไฮบริดอย่าง Seal DM-i ก็ลดราคาลงมาเหลือแสนหยวนต้นๆ (ประมาณ 5 แสนบาท) เท่านั้นเองค่ะ
4
การเคลื่อนไหวของ BYD ครั้งนี้ทำเอาคู่แข่งนั่งไม่ติด ต้องรีบออกมาลดราคาตามกันเป็นแถว ทั้ง Geely, Chery และอื่นๆ อีกเพียบ ถึงขั้นที่รัฐบาลจีนต้องออกมาส่งสัญญาณเตือนให้ยุติสงครามราคาที่ "ไร้ระเบียบ" นี้ เพราะมองว่ามันไม่เป็นผลดีกับใครในระยะยาว
1
🚘 ส่องขุนพลในสนามรบ: ใครเป็นใครในศึก EV จีน?
มาดูกันค่ะว่าท่ามกลางสมรภูมิที่ฝุ่นตลบขนาดนี้ ค่ายรถ EV จีนเจ้าดังๆ เขามีกลยุทธ์รับมือกันยังไงบ้าง
👉🏻 BYD (Build Your Dreams): พี่ใหญ่ยืนหนึ่ง ผู้คุมเกม

ต้องบอกว่า BYD คือเบอร์หนึ่งตัวจริงเสียงจริงในตลาด EV จีนตอนนี้ค่ะ จุดแข็งของเขาคือทำเองเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่แบตเตอรี่ (เขามีเทคโนโลยี Blade Battery ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความทนทาน) ไปจนถึงชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ทำให้คุมต้นทุนได้ดีเยี่ยม
2
ประกอบกับมีรถให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่รุ่นเล็กราคาประหยัดไปจนถึงรุ่นหรูภายใต้แบรนด์ใหม่ๆ อย่าง Yangwang (ที่เปิดตัวซูเปอร์คาร์ไฟฟ้า U9 กับรถออฟโรด U8 ราคาหลายล้านบาท) หรือ Denza ที่ร่วมทุนกับ Mercedes-Benz ทำให้ BYD มีความได้เปรียบในการ "เล่นเกมราคา" อย่างมาก
3
ผลประกอบการก็สะท้อนความแข็งแกร่งเช่นกันค่ะ โดยปี 2024 BYD โกยกำไรสุทธิไปถึง 40.25 พันล้านหยวน (ประมาณ 2 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นถึง 34% และมีเงินสดในมือตุนไว้กว่า 154.9 พันล้านหยวน (เกือบ 8 แสนล้านบาท) แถมในไตรมาส 1 ปี 2025 ก็ยังทำกำไรไปอีก 9.15 พันล้านหยวนค่ะ เรียกว่ากระสุนดินดำพร้อมรบเต็มที่
ทำให้ทั้งสิ้นในปี 2024 BYD ขายรถพลังงานใหม่ (NEV ซึ่งรวมทั้งรถไฟฟ้าล้วนและปลั๊กอินไฮบริด) ไปได้ถึง 4.27 ล้านคัน และยังตั้งเป้าโหดไว้ที่ 5.5 ล้านคันในปี 2025 ด้วยค่ะ

กลยุทธ์ของ BYD ชัดเจนมาก คือใช้ความได้เปรียบด้านต้นทุนและขนาดการผลิตมหาศาล (Economy of Scale) มาหั่นราคาบีบคู่แข่งรายเล็กให้ตกเวทีไป แม้ตัวเองจะกำไรต่อคันน้อยลง แต่ก็ยังไหว เพราะยอดขายถล่มทลายนั่นเอง
1
👉🏻 NIO: แบรนด์หรูหัวใจบริการ กับภารกิจฝ่าวิกฤตขาดทุน

NIO แจ้งเกิดในฐานะ "Tesla จีน" ด้วยภาพลักษณ์พรีเมียม ดีไซน์ล้ำสมัย และจุดขายเด่นคือ บริการสลับแบตเตอรี่ (Battery as a Service หรือ BaaS) ที่ไม่ต้องรอชาร์จนานๆ แต่เมื่อเจอสงครามราคา NIO ก็อ่วมไม่น้อยค่ะ เพราะถ้าลดราคาตาม ภาพลักษณ์แบรนด์หรูก็อาจจะเสีย แต่ถ้าไม่ลด ยอดขายก็หด
3
ช่วงแรก NIO พยายามยืนกรานไม่ลดราคา แต่สุดท้ายก็ต้องยอมหั่นราคารถทุกรุ่นลงราวๆ 6-9% ในเดือนมิถุนายน 2023 พร้อมยกเลิกสิทธิ์เปลี่ยนแบตฟรีสำหรับลูกค้าใหม่เพื่อลดต้นทุน ถึงอย่างนั้น NIO ก็ยังเผชิญภาวะ "ยิ่งขายยิ่งขาดทุน" ค่ะ
1
โดยในปี 2024 ขาดทุนสุทธิไปถึง 22.4 พันล้านหยวน (ประมาณ 1.1 แสนล้านบาท) และไตรมาส 1 ปี 2025 ก็ยังขาดทุนอีก 6.75 พันล้านหยวน เพราะต้นทุนการวิจัยพัฒนา (R&D) และการขยายสถานีสลับแบตเตอรี่ (มีกว่า 3,400 แห่งแล้วนะคะ) มันสูงมากจริงๆ

NIO เลยต้องปรับเกมสู้ ด้วยการเตรียมส่งแบรนด์ลูกราคาเข้าถึงง่ายกว่าเดิมอย่าง Onvo (Lèdào) ที่เปิดตัวรุ่น L60 มาแข่งกับ Tesla Model Y ในราคาที่ถูกกว่า และแบรนด์ Firefly (Yínghuǒchóng) สำหรับตลาดรถเล็ก หวังว่าจะช่วยพลิกสถานการณ์ทางการเงินให้ดีขึ้นได้ค่ะ
ณ ตอนนี้ NIO มีเงินสดในมืออยู่ราวๆ 2.6 หมื่นล้านหยวน (ณ สิ้นไตรมาส 1/2025) ซึ่งก็ยังพอประคองตัวไปได้อีกพักใหญ่ แต่ยังไงก็ต้องเร่งทำกำไรให้ได้โดยเร็วที่สุดค่ะ
👉🏻 XPeng: สตาร์ทอัพสายเทค กับการคัมแบ็กสุดปัง

XPeng หรือ "เสี่ยวเผิง" เป็นอีกค่ายที่เน้นเทคโนโลยีล้ำๆ โดยเฉพาะระบบขับขี่อัตโนมัติ XNGP และ AI ค่ะ ช่วงแรกของสงครามราคา XPeng ก็เป๋ไปเหมือนกัน ยอดขายตกฮวบ แต่พวกเขาก็ปรับทัพใหม่ เปิดตัวรถ SUV รุ่น G6 ที่สเปกดีราคาโดนใจ และตามด้วยแบรนด์ลูก MONA ที่เอาระบบ ADAS ขับขี่ในเมืองได้มาใส่ในรถราคาแค่แสนห้าหมื่นหยวน (ประมาณ 7.5 แสนบาท) อย่างรุ่น MONA M03 Max
4
ผลลัพธ์คือ XPeng กลับมาผงาดได้อีกครั้งค่ะ โดยในไตรมาส 1 ปี 2025 ยอดส่งมอบรถยนต์พุ่งกระฉูดถึง 94,008 คัน (เพิ่มขึ้น 331% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) ขาดทุนสุทธิก็ลดลงฮวบเหลือแค่ 660 ล้านหยวน ซึ่งน้อยที่สุดในรอบ 5 ปี แถมยังมีเงินสดในมืออีกกว่า 4.5 หมื่นล้านหยวน (ณ สิ้นไตรมาส 1/2025)
นอกจากนี้ การจับมือกับยักษ์ใหญ่อย่าง Volkswagen ในการพัฒนารถ EV ร่วมกัน ก็ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้ XPeng มากขึ้นไปอีกค่ะ
1
👉🏻 Li Auto: เจ้าพ่อ SUV พลังงานทางเลือก ที่พายุก็โค่นไม่ลง

Li Auto หรือ "หลี่เซียง" มาแปลกกว่าเพื่อน เพราะเน้นทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบบเพิ่มระยะทาง หรือ EREV (Extended-Range Electric Vehicle) คือมีเครื่องยนต์เบนซินเล็กๆ ไว้ปั่นไฟ ไม่ต้องกลัวแบตหมดกลางทาง ตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่ที่อยากได้รถ SUV กว้างขวาง นั่งสบาย และยังประหยัดพลังงาน
3
กลยุทธ์นี้เวิร์คมากค่ะ โดย Li Auto เป็นหนึ่งในไม่กี่ค่าย EV จีนที่ ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสงครามราคา ในปี 2023 กำไรสุทธิถึง 11.81 พันล้านหยวน และปี 2024 ก็ยังกำไรอีก 8.05 พันล้านหยวน ล่าสุดไตรมาส 1 ปี 2025 ก็ยังทำกำไรไปอีก 650.3 ล้านหยวนค่ะ
1
ถึงแม้จะมีการปรับลดราคารถตระกูล L-Series ลงบ้างเล็กน้อยเพื่อรักษาฐานลูกค้า แต่โดยรวมแล้วสถานะทางการเงินยังแข็งแกร่งมาก มีเงินสดในมือกว่า 1.1 แสนล้านหยวน (ณ สิ้นไตรมาส 1/2025)

ตอนนี้ Li Auto ก็เริ่มขยับขยายไปทำรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) มากขึ้นแล้วนะคะ โดยเตรียมเปิดตัวรถตระกูล i-Series อย่าง Li i8 และ Li i6 เพื่อลงสนามแข่งเต็มตัวค่ะ
2
👉🏻 Xiaomi: น้องใหม่ไฟแรง เขย่าบัลลังก์ด้วยสเปกเทพราคาสบายกระเป๋า

ใครจะคิดว่ายักษ์ใหญ่สมาร์ทโฟนอย่าง Xiaomi จะกระโดดลงมาเล่นในสนาม EV ด้วย แต่พวกเขาก็ทำแล้วค่ะ แถมยังสร้างปรากฏการณ์ด้วยรถซีดานไฟฟ้าดีไซน์สปอร์ต SU7 ที่เปิดตัวมาด้วยสเปกจัดเต็มแต่ราคาเริ่มต้นแค่ประมาณ 29,900 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1 ล้านบาทนิดๆ) ถูกกว่าคู่แข่งแต่ได้ออปชั่นเพียบ ยอดจองถล่มทลายค่ะ โดยในเดือนพฤษภาคม 2025 ส่งมอบรถไปแล้วกว่า 28,000 คัน
1
แต่การเป็นน้องใหม่ก็มีความท้าทายนะคะ Xiaomi กำลังเจอปัญหาผลิตไม่ทันออเดอร์ บางรุ่นอาจต้องรอกันเกือบปี แถมยังมีประเด็นเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยที่ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกยาว โดยทางด้าน Xiaomi ตั้งเป้าว่าธุรกิจ EV จะเริ่มทำกำไรได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และยังมีแผนจะเปิดตัวรถ SUV รุ่น YU7 ในเร็วๆ นี้ด้วยค่ะ
1
🚘 เหล่าผู้เล่นรายอื่นๆ: ใครจะอยู่ ใครจะไป?

นอกจากบิ๊กเนมที่ว่ามาแล้ว ตลาด EV จีนยังมีผู้เล่นอีกเพียบค่ะ ทั้งค่ายรถดั้งเดิมอย่าง Geely (เจ้าของ Zeekr, Geometry, Galaxy), GAC Aion, Great Wall Motor (ORA), Changan, BAIC ต่างก็ต้องดิ้นรนปรับตัว ลดราคา ออกรุ่นใหม่มาสู้
แต่ที่ไม่ไหวจริงๆ ก็มีให้เห็นนะคะ เนื่องจากสงครามราคาครั้งนี้มันโหดร้ายจริงๆ สตาร์ทอัพ EV ที่เคยโด่งดังหลายรายต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปแล้ว เช่น WM Motor (Weltmeister) ที่ระดมทุนได้มหาศาลแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ยื่นล้มละลายไปเมื่อเดือนตุลาคม 2023, HiPhi แบรนด์รถหรูดีไซน์ล้ำ ก็ต้องหยุดการผลิตและยื่นล้มละลายในเดือนสิงหาคม 2024, หรือ Singulato Motors ที่ระดมทุนได้เป็นหมื่นล้านหยวนแต่ไม่เคยได้ส่งมอบรถเลยสักคัน
2
ว่ากันว่ามีเจ้าของรถ EV จีนกว่า 160,000 ราย ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดตัวของบริษัทเหล่านี้ ทั้งเรื่องการรับประกัน หรือแม้แต่ซอฟต์แวร์ในรถที่อาจใช้งานต่อไม่ได้

นอกจากนี้นักวิเคราะห์คาดกันว่า จากผู้ผลิต EV กว่า 500 รายในปี 2019 ตอนนี้เหลือที่ยังแอคทีฟจริงๆ แค่ประมาณ 100 ราย และภายในปี 2030 อาจจะเหลือผู้เล่นที่สามารถทำกำไรได้จริงๆ ไม่ถึง 20 แบรนด์ หรืออาจจะแค่ 5-10 รายใหญ่ เท่านั้น ทำให้นี่คือการ "คัดเลือกโดยธรรมชาติ" ที่โหดร้ายนั่นเองค่ะ
🔥 ล้วงกระเป๋าค่าย EV: ใครเลือดสาด ใครเงินเต็มถัง?
อย่างที่เกริ่นไปว่าสงครามราคาครั้งนี้มันโหดจริง หลายค่ายถึงกับ "เลือดสาด" แต่ก็ยังมีบางรายที่ "เงินเต็มถัง" พร้อมสู้ไม่ถอย เรามาดูตัวเลขจริงๆ กันเลยดีกว่าค่ะ (ข้อมูลล่าสุดถึงไตรมาส 1 ปี 2025 นะคะ)
2
✅ พี่ใหญ่ BYD: รายนี้เขา "กำไรสุทธิ" เป็นว่าเล่นค่ะ ปี 2023 โกยไปกว่า 3 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท) พอมาปี 2024 ตัวเลขพุ่งไปอีกเป็น 4.025 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 2 แสนล้านบาท) ไม่ใช่แค่ขายดีนะคะ แต่ BYD ยังทุ่มงบมหาศาลกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) ปี 2023 ใช้ไปเกือบ 4 หมื่นล้านหยวน (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 112%) เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ
สถานะการเงินล่าสุดก็ยังแข็งแกร่งสุดๆ ไตรมาส 1 ปี 2025 ทำกำไรไปอีก 9.15 พันล้านหยวน และมีเงินสดในมือตุนไว้ ณ สิ้นปี 2024 สูงถึง 1.549 แสนล้านหยวน (เกือบ 8 แสนล้านบาท!) เรียกว่ากระสุนพร้อมรบอีกนานค่ะ
✅ ดาวรุ่ง Li Auto: ค่ายนี้ก็เป็น "ม้ามืด" ที่ทำกำไรได้น่าทึ่งค่ะ หลังจากขาดทุนในช่วงแรกๆ Li Auto ก็พลิกกลับมาทำกำไรได้ตั้งแต่ปี 2023 โดยปีนั้นกวาดกำไรสุทธิไป 1.181 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท) พอมาปี 2024 ก็ยังกำไรต่อเนื่องที่ 8.05 พันล้านหยวน และล่าสุดไตรมาส 1 ปี 2025 ก็ยังบวกไปอีก 650.3 ล้านหยวน ค่ะ Li Auto มีเงินสดและสินทรัพย์หมุนเวียนสูงมาก (ณ สิ้นปี 2024 มีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นรวมกันกว่า 6.5 หมื่นล้านหยวน) หนี้สินก็น้อย สภาพคล่องดีเยี่ยม ไม่มีสัญญาณวิกฤตเลยค่ะ
1
⚠️ NIO: ยังน่าห่วง แต่ก็สู้สุดใจ ค่ายพรีเมียมนี้สถานการณ์การเงินยัง "น่าเป็นห่วง" ที่สุดในกลุ่มท็อป 4 ค่ะ ปี 2023 ขาดทุนสุทธิไปเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราวๆ 1 แสนล้านหยวน) และปี 2024 ตัวเลขขาดทุนก็ยังสูงถึง 2.24 หมื่นล้านหยวน ล่าสุดในไตรมาส 1 ปี 2025 ก็ยังขาดทุนต่อเนื่องอีก 6.75 พันล้านหยวน ค่ะ
ตอนนี้ NIO ยังไม่มีทีท่าจะถึงจุดคุ้มทุน แถมเงินสดสำรองก็ลดลงเรื่อยๆ จากการ "เผาเงิน" สร้างสถานีสลับแบตเตอรี่และพัฒนารถรุ่นใหม่ (ณ สิ้นไตรมาส 1/2025 มีเงินสดเหลืออยู่ราว 2.6 หมื่นล้านหยวน) แม้ความเสี่ยงล้มละลายระยะสั้นจะยังไม่มาก (เพราะยังมีเงินสดและรัฐบาลจีนคงไม่ปล่อยให้ล้มง่ายๆ) แต่ถ้าใน 2-3 ปีข้างหน้ายังขาดทุนหนักแบบนี้ก็น่าคิดนะคะ
1
📊 XPeng: สัญญาณฟื้นตัวชัดเจน ค่ายสายเทคนี้เคยขาดทุนหนักเหมือนกันค่ะ ปี 2023 ขาดทุนไปกว่า 1.038 หมื่นล้านหยวน แต่พอเข้าปี 2024-2025 สถานการณ์เริ่มดีขึ้นมาก โดยในไตรมาส 1 ปี 2025 ตัวเลขขาดทุนสุทธิลดลงเหลือแค่ 660 ล้านหยวน ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดในรอบ 5 ปีของบริษัทเลยค่ะ
1
ประกอบกับยังมีเงินสดในมือกว่า 4.5 หมื่นล้านหยวน (ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2025) ทำให้สถานะการเงินของ XPeng ค่อนข้างมั่นคงขึ้นเยอะ โอกาสล้มละลายต่ำ แถมยังมี Volkswagen เป็นพันธมิตรคอยหนุนหลังอีกแรง
‼️ค่ายอื่นๆ และภาพรวมอุตสาหกรรม: ถ้าไม่นับ BYD, Li Auto และ Seres (ที่เป็นพันธมิตรกับ Huawei) บริษัทรถ EV ส่วนใหญ่ในจีนยังคง "ขาดทุน" ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นค่ายใหญ่อย่าง Geely (ในส่วนรถ EV), GAC Aion, Changan, Great Wall หรือสตาร์ทอัพเล็กๆ อย่าง Neta, Leapmotor (แม้ Leapmotor จะขายดีขึ้นและได้ Stellantis มาอุ้ม แต่ก็ยังขาดทุนสะสม) แม้แต่ Tesla เองที่ถึงจะกำไรทั่วโลก แต่กำไรในตลาดจีนก็คงบางลงเยอะจากการลดราคาอย่างหนัก
2
ประธานค่าย Great Wall ถึงกับเคยเปรยแรงๆ ว่าตอนนี้มี “เอเวอร์แกรนด์แห่งวงการยานยนต์” ซ่อนอยู่ในอุตสาหกรรม ซึ่งนั่นหมายถึงมีบริษัทที่หนี้ท่วมจ่อล้มละลาย แต่ยังไม่เปิดเผยตัวเลขออกมา ซึ่งน่าจะเป็นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ที่เราไม่ค่อยรู้จัก หรืออาจเป็นการเตือนภาพรวมว่าถ้าไม่มีใครกำไรได้เลย และห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดก็อาจจะพังครืนลงมาเหมือนวิกฤตอสังหาฯ ก็เป็นได้ค่ะ
1
นอกจากนี้ เรายังได้เห็นปรากฏการณ์ "รถยนต์มือสองป้ายแดง ไมล์ศูนย์" ที่มีรถใหม่เอี่ยมจดทะเบียนแล้วแต่ยังไม่ได้วิ่ง ถูกเอามาขายในตลาดรถมือสองกว่า 3,000-4,000 คัน ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกถึงแรงกดดันมหาศาลที่ดีลเลอร์และผู้ผลิตต้อง "ลดราคาแบบลับๆ" เพื่อระบายสต็อกและทำยอดขายให้ได้ตามเป้า จนกระทรวงพาณิชย์จีนต้องเรียกประชุมด่วนในเดือนพฤษภาคม 2025 เพื่อหารือปัญหานี้เลยค่ะ
สรุปง่ายๆ คือ ในแง่งบการเงิน บริษัทจีนที่ "กระเป๋าตุง" จริงๆ เหลืออยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่คือผู้นำตลาดที่มีกำไรชัดเจน หรือบริษัทที่มีทุนหนุนหลังหนาพอจะประคองตัวได้ กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือแบรนด์ขนาดกลางถึงเล็กที่ยังขาดทุนต่อเนื่องและไม่มีจุดขายที่แข็งแรงพอ อีกไม่นานเราอาจจะได้เห็นข่าวการล้มละลายหรือการควบรวมกิจการในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอีกแน่นอนค่ะ
🎯 ใครคือผู้ชนะที่แท้จริง?
สงครามราคา EV ในจีนครั้งนี้มันซับซ้อนและมีหลายมิติมากค่ะ ถ้าจะให้ฟันธงว่าใครคือ "ผู้ชนะ" เดี่ยวๆ คงยาก แต่ที่แน่ๆ คือ ผู้ที่จะยืนหยัดอยู่ได้ในระยะยาว ต้องมีทั้ง ความแข็งแกร่งทางการเงิน, เทคโนโลยีที่โดดเด่น, ความสามารถในการควบคุมต้นทุน (อย่าง BYD ที่ทำเองครบวงจร), แบรนด์ที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการขยายตลาดไปทั่วโลกได้
สำหรับประเทศไทยเอง การทะลักเข้ามาของรถ EV จีนก็ทำให้ตลาดคึกคัก ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการในบ้านเราก็ต้องปรับตัวกันยกใหญ่เลยค่ะ อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่รถยนต์ก็ไม่ได้ซื้อกันบ่อยๆ ดังนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคอย่างเราควรพิจารณานอกเหนือจากราคาที่ถูกก็คือ “บริษัทที่เราซื้อ มันจะเจ๊งหรือไม่ค่ะ” ไม่อย่างงั้นนอกจากจะ “ติดดอย” EV แล้ว งานนี้จะถูก “ลอยแพ” ด้วยนั่นเองค่ะ
1
สุดท้ายแล้ว สงครามครั้งนี้อาจจะเจ็บปวดสำหรับหลายๆ คนในวงการ แต่ในอีกมุม มันก็ได้เร่งให้เทคโนโลยี EV พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด และทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ที่เราต้องจับตาดูกันต่อไปอย่างใกล้ชิดเลยค่ะ
แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ คิดว่าสงครามราคา EV ในจีนครั้งนี้จะจบลงยังไง? และค่ายไหนจะเป็นผู้ชนะตัวจริง? คอมเมนต์มาคุยกันได้นะคะ
โฆษณา