6 มิ.ย. เวลา 03:30 • ธุรกิจ

สิงคโปร์ ลงทุนล้านล้าน สร้างเมืองสีเขียวที่สุดในโลก

แม้จะมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลก และเป็นประเทศพัฒนาแล้วเพียงหนึ่งเดียวของอาเซียน
แต่ด้วยความที่สิงคโปร์ มีพื้นที่ขนาดเล็กเพียง 735 ตารางกิโลเมตร หรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯ
ปัญหาที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศเลยก็คือ การขาดแคลนทรัพยากร
ทรัพยากรแทบทุกอย่างต้องนำเข้า โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ที่นำเข้าเกือบ 100% จากมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทำให้ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าของสิงคโปร์ จึงสูงมาก และยากที่จะควบคุม
จุดนี้เองที่ทำให้แผนยุทธศาสตร์ของสิงคโปร์ ที่ชื่อว่า “Singapore Green Plan 2030” น่าสนใจขึ้นมา เพราะไม่ได้แค่แก้ปัญหาการปล่อยมลพิษ
แต่เป็นการวางแผนระยะยาว เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร และนำสิงคโปร์ไปสู่ผู้นำเศรษฐกิจใหม่ ที่เรียกว่า Green Economy
Singapore Green Plan 2030 คืออะไร ?
และจะช่วยให้สิงคโปร์ ยังเป็นผู้นำของภูมิภาคได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ใครเคยไปเยือนสิงคโปร์ จะพบว่า ตั้งแต่ชานเมือง จนถึงใจกลางเมืองของสิงคโปร์ เกือบทุกสถานที่ ถนนหนทาง อาคาร ชั้นและจุดต่าง ๆ มักมีต้นไม้หรือพื้นที่สีเขียวแทรกอยู่เสมอ
เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ​ แต่เป็นความตั้งใจของสิงคโปร์ และเป็นส่วนหนึ่งของ Singapore Green Plan 2030
Singapore Green Plan 2030 คือแผนยุทธศาสตร์ 10 ปี ที่มี 5 เสาหลัก ใช้งบประมาณกว่า 250,000 ล้านบาท รวมถึงออกพันธบัตรสีเขียว เพื่อระดมทุนสนับสนุนโครงการต่าง ๆ อีกกว่า 875,000 ล้านบาท
โดย 5 เสาหลักที่ว่า ก็คือ
1. เปลี่ยนเมืองให้เป็นสวน (City in Nature)
ทั้งการสร้างสวนใหม่ และปรับปรุงสวนเก่า โดยมีพื้นที่รวมกว่า 3 ตารางกิโลเมตรทั่วเกาะ หรือใหญ่กว่าสวนลุมพินีเกือบ 6 เท่า
และมีเงื่อนไขว่า ทุกครัวเรือน จะต้องเข้าถึงสวนสาธารณะได้ในระยะเดินไม่ถึง 10 นาที
โดยโมเดลที่จะใช้ทำสวนสีเขียว ก็มีหลายรูปแบบ เช่น
- การทำสวนแนวตั้ง (Vertical Greening) ตามผนังอาคารต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศ และความสวยงามแล้ว ยังช่วยเพิ่มความเย็นให้กับอาคารอีกด้วย
- สวนลอยฟ้า (Sky Gardens) คล้ายกับสวนแนวตั้ง แต่จะเน้นใช้พื้นที่บนหลังคา หรือดาดฟ้าอาคารในการปลูกพืชพรรณต่าง ๆ
- ทางเชื่อมสวนสาธารณะ (Park Connector) ที่จะเชื่อมสวนสาธารณะต่าง ๆ ด้วยทางเท้า และเลนจักรยาน ช่วยให้ผู้คนสามารถเดินทางไปยังสวนสาธารณะต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น
และส่งเสริมการออกกำลังกาย เช่น เดิน, วิ่ง หรือขี่จักรยาน รวมถึงช่วยลดการใช้ยานพาหนะ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลภาวะ
2. การปฏิวัติระบบพลังงาน (Energy Reset)
จากเป้าหมายที่จะสร้างความมั่นคงทางพลังงานด้วยตัวเอง โดยจะเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็น 4 เท่า ภายในปี 2025
แต่ปัญหาคือ สิงคโปร์มีพื้นที่จำกัด แล้วจะเอาแผงโซลาร์เซลล์ ไปติดตั้งที่ไหน ?
คำตอบคือ.. บนผิวน้ำ
1
สิงคโปร์ กำลังก่อสร้างโครงการ Tengeh Reservoir ฟาร์มโซลาร์เซลล์ลอยน้ำที่ใหญ่สุดในโลก คาดว่าจะสามารถช่วยลดการใช้ก๊าซธรรมชาติได้ถึง 30% ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากถึง 50,000 ล้านบาทต่อปี
3. ผลักดันรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Living)
เรื่องนี้อาจจะท้าทายที่สุด เพราะเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมของประชากรสิงคโปร์ทั้งเกาะ ที่มี 5.9 ล้านคน โดยมีเป้าหมายคือ ลดขยะลง 30% และรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่ทั้งหมด ต้องเป็นรถยนต์พลังงานสะอาด
จึงมีโครงการต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วทั้งเกาะ และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับอุตสาหกรรม EV
ที่น่าสนใจคือ การสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คน
เช่น My Carbon Footprint Tracker ที่จะเปรียบเทียบการปล่อยคาร์บอนของตนเองกับค่าเฉลี่ยของคนในประเทศ แล้วให้คำแนะนำในการปรับพฤติกรรม เช่น เดินทางด้วยรถสาธารณะ หรือลดการใช้พลังงานในบ้าน
หรือ Smart Recycling Bins ถังรีไซเคิลพร้อมจอแสดงผลที่จะโชว์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น จำนวนคนที่รีไซเคิล, น้ำหนักวัสดุที่เก็บได้ หรือข้อความขอบคุณทันทีที่ทิ้งขยะถูกประเภท
ทั้งหมดนี้ เป็นความพยายามในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในประเทศให้กลายเป็นบรรทัดฐานของสังคม และดำรงชีวิตโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ซึ่งภาพที่จะเกิดขึ้น ก็อาจจะคล้าย ๆ กับญี่ปุ่น ที่ประชาชนต้องเก็บขยะนำไปทิ้งที่บ้าน หรือแยกขยะได้ถูกประเภทก่อนทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ของคนในประเทศ
4. เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงานสีเขียว (Green Jobs), พัฒนา Green Finance และเป็นศูนย์กลางทางการเงินด้าน ESG ในเอเชีย
ซึ่งสิงคโปร์เป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เก็บ Carbon Tax เมื่อปี 2019 และปรับเพิ่มอัตราภาษีขึ้นเรื่อย ๆ
รวมถึงการพัฒนา Green Finance Hub และการส่งเสริม การลงทุนโดยสร้าง Green Bond Market ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
Green Bond Market คือ ตลาดสำหรับออกและซื้อขาย “พันธบัตรสีเขียว” (Green Bonds) ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่ผู้ออก เช่น รัฐบาล หรือเอกชน ใช้ระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
5. การเตรียมพร้อมรับมืออนาคต (Resilient Future)
สิงคโปร์ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาภัยพิบัติ และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
หนึ่งในโครงการสำคัญ คือการสร้าง Sea Wall และระบบป้องกันน้ำท่วม ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เป็นปัญหาอย่างมากต่อประเทศเกาะที่มีพื้นที่ต่ำอย่างสิงคโปร์
รวมถึงการพัฒนาเกษตรในเมือง (Urban Farming) และ ความมั่นคงทางอาหาร เพื่อให้สิงคโปร์สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น
โดยการใช้พื้นที่ในเมือง เช่น อาคารสูง ดาดฟ้า หรือพื้นที่ขนาดเล็กในการปลูกพืชและทำเกษตรกรรม ทั้งการปลูกพืชไร้ดิน (Hydroponics) หรือ การทำเกษตรในแนวตั้ง
(Vertical Farming)
นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังลงทุนในเทคโนโลยี Digital Twin เพื่อจำลองและวางแผนการพัฒนาเมืองในอนาคต รวมถึงการใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์ผลกระทบจากสภาพอากาศ
และการทำเกษตรอัจฉริยะ ที่ใช้ระบบ IoT และ AI เข้ามาช่วยในการตัดสินใจและปรับปรุงการผลิต
จะเห็นว่า Singapore Green Plan 2030 ไม่ใช่แค่การใช้จ่ายเพื่อสิ่งแวดล้อม
แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อเป็นประเทศแรก ๆ ที่พัฒนาเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจสีเขียวแบบครบวงจร
ลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน และเพิ่มความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่ Green Economy ที่มีมูลค่าสูงกว่า
พร้อมเตรียมรับมือกับอนาคตและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
ซึ่งการพยายามเป็น First Mover ของสิงคโปร์ เพื่อที่จะเป็นผู้นำ Green Economy รายแรก ๆ ของอาเซียน หรือของโลก ก็เพื่อทำให้สิงคโปร์ ยังมีบทบาทเป็นผู้นำของภูมิภาค
เหมือนที่เคยเกิดขึ้นจากความสำเร็จในอดีต ที่สิงคโปร์เป็นผู้นำด้านการเงินและการบินของภูมิภาค
ซึ่งช่วยให้เกาะเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์เติบโต กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วเพียงแห่งเดียวของอาเซียน
แม้จะมีพื้นที่เพียง​​ครึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯ และไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ เป็นของตัวเองเลยก็ตาม..
โฆษณา