6 มิ.ย. เวลา 07:03 • ศิลปะ & ออกแบบ

Blue Color

เมื่อคุณลูกฝากให้ช่วยปริ้นซ์การบ้านให้ที
เลยถือโอกาสแอบดูแอบอ่านคร่าวๆ
ตอนแรกคิดว่าจะเป็นเรื่องทฤษฎีสี
เอ๊ะ! มันเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ถูกจริตเรา
และนี่คือเรื่องราวที่คุณลูกไปสืบค้นทำการบ้านมา…
1
ก่อนที่สีฟ้า-น้ำเงิน หรือ blue color จะถูกจัดอันดับให้เป็นสีที่มนุษย์โปรดปรานมากที่สุด มันกลับเป็นสีที่ถูก ‘รู้จัก’ เป็นสีท้ายๆ ของบรรดาสีสันหลักบนโลกใบนี้ วันนี้เราจึงมี 4 ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับสีน้ำเงินที่อยากบอกเล่าให้คุณได้รู้
1
1. เกือบทุกอารยธรรมโบราณไม่มีคำว่า ‘สีน้ำเงินมา
ในมหากาพย์ The Odyssey นักประพันธ์ชาวกรีกโบราณอย่างโฮเมอร์บรรยายท้องทะเลว่าเป็น ‘สีแดงก่ำราวกับไวน์’ (wine-red)
ทะเลยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็ยังคงมีสีอย่างทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นสีแดงก่ำ เพียงแต่ว่าอารยธรรมกรีกโบราณไม่มีคำว่า ‘สีน้ำเงิน’ อยู่ในพจนานุกรมต่างหาก
1
ในปี 1858 นักวิชาการชาวอังกฤษ William Gladstone เป็นคนแรกที่สังเกตว่าบทประพันธ์ของโฮเมอร์ไม่มีการกล่าวถึงสีน้ำเงินสักนิด จะมีก็แต่สีดำและสีขาวเป็นหลัก นานทีจึงจะมีสีอื่นๆ อย่างสีแดง เขียว และเหลืองแซมมาบ้างเล็กน้อย
1
เมื่อได้ยินดังนั้น Lazarus Geiger นักนิรุกติศาสตร์ (ผู้ศึกษาเรื่องการสื่อสารของมนุษย์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน)ชาวเยอรมัน จึงไปศึกษาเท็กซ์โบราณในอารยธรรมอื่นๆ เช่น ฮิบรู จีน อิสลาม ฮินดู ไอซ์แลนด์ ก็พบว่าอารยธรรมเหล่านี้ไม่มีคำว่าสีน้ำเงินเช่นกัน เว้นเพียง อารยธรรมอียิปต์เจ้าเดียวที่มีคำว่าสีน้ำเงินและมีสีย้อมสีน้ำเงินใช้
1
2.สีน้ำเงินเป็นสีของราชวงศ์และชนชั้นสูงด้วยเหตุผลง่ายๆ—เพราะมันแพง!
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ชาวยุโรปใช้สีน้ำเงินที่สกัดจากต้นโวด (woad) ในการย้อมสีผ้า แต่การสกัดสีนั้นต้องใช้ต้นทุนการผลิตที่สูงมาก อีกทั้งสีย้อมจะอ่อนลงเรื่อยๆ ตามการใช้งาน สีน้ำเงินจากต้นโวดจึงกลายเป็นสีที่ใช้กันในหมู่คนรวยเท่านั้น
1
สีต้นโวดว่าแพงแล้ว สีคราม (indigo) แพงยิ่งกว่า เพราะต้องนำเข้ามาจากอินเดีย แต่ข้อดีคือสีครามให้สีน้ำเงินที่สดสวยกว่าสีต้นโวดมาก คนที่ใช้สีครามจึงจำกัดอยู่เพียงเหล่าชนชั้นสูงและราชนิกูลในรั้วรอบขอบวัง โดยในยุคสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ถึงขั้นออกกฎหมายห้าม ไม่ให้บุคคลธรรมดาสวมเสื้อผ้าสีครามเด็ดขาด นับแต่นั้นสีน้ำเงินจึงกลายเป็นสีของชนชั้นสูงนั่นเอง
3.ไม่ใช่แค่สีย้อมผ้าเท่านั้นที่แพง เพราะสีน้ำเงินของศิลปินก็แพงเวอร์วังเหมือนกัน
ในยุค Renaissance ศิลปินนิยมใช้สีน้ำเงินสด (ultramarine) ซึ่งได้มาจากการบดอัญมณี Lapis Lazuli ที่มีราคาแพงมากๆ เพราะนอกจากจะเป็นหินมีค่าแล้ว ยังต้องนำเข้าจากเหมืองในประเทศอัฟกานิสถานเท่านั้นด้วย ว่ากันว่าศิลปินหลายคนไม่สามารถเพนต์รูปให้เสร็จได้เพราะไม่มีเงินซื้อสีน้ำเงินนี่เอง
1
4. กางเกงยีนส์ไม่ได้ถูกย้อมครามเพื่อความคูล แต่ย้อมเพื่อตอบโจทย์ฟังก์ชั่นต่างหาก
เริ่มจากจุดเริ่มต้นของกางเกงยีนส์ที่ว่าในยุคตื่นทองของอเมริกา นาย Levi Strauss ได้เปิดร้านขายของชำ (dry goods store) ในซานฟรานซิสโก โดยมีผ้าเดนิมเป็นหนึ่งในสินค้าของร้าน วันหนึ่งช่างเย็บผ้านามว่า Jacob Davis ได้รับโจทย์จากลูกค้าให้ตัดกางเกงใส่ทำงานที่แข็งแรง ไม่ขาดง่าย
1
เขาจึงเลือกใช้ผ้าเดนิดหน่อยมจากร้านของ Strauss มาตัดเป็นกางเกง แล้วตอกหมุดโลหะเพื่อเสริมความทนทาน และผลตอบรับก็ดีมากๆ
ผ้าเดนิมนั้นถือกำเนิดขึ้นที่เมือง Genoa ประเทศอีตาลี ความแข็งแรงทำให้มันเป็นที่นิยมมากๆ ในหมู่คนงาน จนช่างฝีมือในเมือง Nimes ประเทศฝรั่งเศส พยายามจะทอผ้าแบบเดียวกัน ซึ่งผลสุดท้ายก็ได้ผ้าเดนิมที่คล้ายๆ กัน คือเป็นเส้นใยคอตตอนย้อมสีครามที่สานกันแน่นหนา
แล้วทำไมต้องย้อมสีคราม? เพราะในขณะที่สีสังเคราะห์อื่นๆ สามารถย้อมถึงทุกส่วนของเส้นใย แต่ครามจะย้อมเพียงด้านนอกของเส้นใย เหมือนแค่เคลือบไว้ ดังนั้นทุกครั้งที่ซักสีครามบางส่วนจะหลุดออกมาพร้อมโมเลกุลเล็กๆ ของเส้นใยผ้า ผ้าจึงนุ่มขึ้น ทั้งยังกระชับเข้ากับร่างกายมากขึ้นด้วย
และแล้วการบ้านประวัติศาสตร์สีน้ำเงินก็มาจบลงดื้อๆ ณ จุดนี้ ไม่มีบทส่งท้ายใดๆ ซึ่งก็ทำให้คุณพ่อขี้สงสัยไปตามสืบต่อในจักวาลกู๋เกิ้น ก็พบว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายกับความเป็นมาเป็นไปของสีน้ำเงินให้ตามสืบค้น
แม้ความจริงจะมีหนึ่งเดียว แต่ประวัติศาสตร์เรื่องเดียวกันมักมีหลายที่มาเสมอ
โฆษณา