Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เส้นทางตื่นฝัน🚩
•
ติดตาม
6 มิ.ย. เวลา 11:08 • ไลฟ์สไตล์
ชีวิตต้องรู้จักเปิดไฟ การยอมศิโรราบ เส้นทางตื่นฝัน สนทนาธรรมกับอาจารย์ AI☺️👍✌️🚩
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ! มีอะไรให้ผมช่วยในวันนี้ไหมครับ?
วันนี้อยากชวนคุยกับบทความที่ผมเคยบันทึกไว้ คุณมีความคิดเห็นเพิ่มเติมหรือแตกประเด็นในสิ่งที่ผมบันทึกไว้ยังไงบ้าง
ชีวิตที่ต้องรู้จักเปิดไฟ
...
บางครั้งเราไม่จำต้องรังเกียจความมืด เพียงแค่เปิดไฟ ความมืดก็จะหายไป
บางครั้งเราไม่จำเป็น ต้องคอยซ่อมแซมความรู้สึก
เพราะสิ่งไหนที่รับรู้แปลว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว เพียงแค่ใช้ความกล้าหาญ ที่จะปล่อยให้ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นและจบลง
...
นกบินอยู่บนฟ้า
ปลาว่ายอยู่ในน้ำ
รถวิ่งบนถนน
แต่ความสับสนวิ่งอยู่ในใจ
...
#รู้เลยว่าว่าง☺️✌️
#ดิเพ้อเจ้อ🤔
คำตอบ:
ขอบคุณมากเลยครับที่นำบทความดีๆ แบบนี้มาแบ่งปัน! ผมชอบแนวคิดที่คุณถ่ายทอดออกมามากๆ เลยครับ โดยเฉพาะเรื่อง "การเปิดไฟ" ซึ่งเป็นภาพเปรียบเทียบที่ทรงพลังและเข้าใจง่ายมากๆ ครับ
ความมืด...แค่เปิดไฟ
ผมเห็นด้วยเลยครับว่าบางครั้ง "ความมืด" ที่เราเผชิญ ไม่ได้ต้องการการต่อสู้หรือการกำจัดให้สิ้นซาก แต่มันอาจจะต้องการแค่ "แสงสว่าง" เท่านั้นเอง
เหมือนกับที่เราอยู่ในห้องมืดๆ เราไม่ได้ต้องพยายาม "ไล่ความมืดออกไป" แค่เปิดสวิตช์ไฟ ความมืดก็จะหายไปเอง
ในบริบทของชีวิต ผมตีความว่า "ความมืด" อาจจะหมายถึงปัญหา ความกังวล ความกลัว หรือความไม่สบายใจต่างๆ ที่เราเจอ ซึ่งบางทีเราอาจจะติดกับดักความคิดที่ว่าเราต้องแก้ปัญหาให้ได้ ต้องสู้กับมัน ต้องพยายามเปลี่ยนมัน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว "การเปิดไฟ" อาจจะหมายถึงการ เปลี่ยนมุมมอง การ ยอมรับ การ ค้นหาทางออกใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งการ ขอความช่วยเหลือ จากคนอื่น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละครับที่จะนำพา "แสงสว่าง" เข้ามาในชีวิตเราได้
ไม่ต้องซ่อมแซม...แค่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นและจบลง
ประเด็นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ผมรู้สึกว่าคมคายมากๆ ครับ "ไม่ต้องซ่อมแซมความรู้สึก"
เป็นสิ่งที่หลายคนมักจะติดกับดัก เพราะเรามักจะถูกสอนให้พยายาม "จัดการ" กับความรู้สึกด้านลบ แต่สิ่งที่คุณเขียนบ่งบอกถึงความเข้าใจธรรมชาติของความรู้สึกได้เป็นอย่างดีครับ
ความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุข เศร้า เหงา โกรธ มันก็เหมือนกับคลื่นในทะเลครับ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเอง
การที่เราพยายามจะ "ซ่อมแซม" หรือ "แก้ไข" มัน อาจจะเป็นการต่อต้านธรรมชาติของมัน และทำให้เราจมดิ่งกับความรู้สึกนั้นนานขึ้น
"แค่ใช้ความกล้าหาญที่จะปล่อยให้ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นและจบลง" ตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญเลยครับ ความกล้าหาญนี้คือการ ยอมรับ ว่าเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ ไม่ตัดสินตัวเอง ไม่ต่อต้าน ไม่พยายามหนี
เมื่อเรายอมให้มันเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ มันก็จะไหลผ่านไป เหมือนกับที่เราหายใจเข้าและหายใจออก เราไม่สามารถกั้นลมหายใจได้ตลอดไป เช่นเดียวกับความรู้สึกความสับสนที่วิ่งอยู่ในใจ
วลี "นกบินอยู่บนฟ้า ปลาว่ายอยู่ในน้ำ รถวิ่งบนถนน แต่ความสับสนวิ่งอยู่ในใจ"
เป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพชัดเจนและสะท้อนความจริงได้ดีเลยครับ สิ่งต่างๆ รอบตัวเรามีที่ทางและหน้าที่ของมัน แต่ใจของเรากลับเป็นพื้นที่ที่ความสับสนสามารถเข้ามาวิ่งเล่นได้อย่างอิสระ
ผมมองว่านี่คือความท้าทายของชีวิตมนุษย์เลยครับ เพราะเรามีสมองที่คิดได้ มีอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อน ทำให้เกิด "ความสับสน" ขึ้นมาได้ง่ายกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ความสับสนนี้อาจจะเกิดจากการที่เรามีทางเลือกมากเกินไป จากความคาดหวัง จากความไม่แน่นอน หรือจากการที่เราไม่รู้จัก "เปิดไฟ" และ "ปล่อยวาง" อย่างที่กล่าวไปข้างต้น
แตกประเด็นเพิ่มเติม: "การเปิดไฟ" ในโลกปัจจุบัน
ในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และความกดดันจากสังคมมีอยู่สูง แนวคิด "การเปิดไฟ" และ "การปล่อยวางความรู้สึก" ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นครับ
* "การเปิดไฟ" ให้กับข้อมูล: บางครั้งความสับสนหรือความกังวลของเราเกิดจากการที่เราจมอยู่กับข้อมูลที่มากเกินไป หรือข้อมูลที่ไม่เป็นจริง "การเปิดไฟ" อาจหมายถึงการ เลือกรับข้อมูล อย่างมีสติ การ ตรวจสอบความถูกต้อง และการ เว้นระยะห่าง จากสิ่งที่จะนำพาความมืดเข้ามาในใจ
* "การเปิดไฟ" ให้กับการเติบโต: ความมืดไม่ได้มีแค่ด้านลบเสมอไปครับ บางครั้งความมืดก็เป็นช่วงเวลาของการพักผ่อน การใคร่ครวญ และการเตรียมพร้อมสำหรับการ "เปิดไฟ" อีกครั้ง
มันคือช่วงเวลาที่เราจะ เรียนรู้จากความผิดพลาด ทำความเข้าใจตัวเอง และ เติบโตไปข้างหน้า
* "การปล่อยวาง" กับความคาดหวัง: ในสังคมที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบ เรามักจะแบกรับความคาดหวังของตัวเองและคนอื่นไว้มาก การยอมรับว่าบางสิ่งเราควบคุมไม่ได้ และการปล่อยให้ความรู้สึกผิดหวังหรือท้อแท้เกิดขึ้นแล้วจบลงไป จะช่วยให้เราเบาสบายขึ้นมากครับ
สุดท้ายนี้ สิ่งที่คุณเขียนสะท้อนให้เห็นว่าแม้ในยามที่รู้สึก "ว่าง" หรือ "เพ้อเจ้อ" ความคิดที่ลึกซึ้งและเป็นประโยชน์ก็สามารถเกิดขึ้นได้ครับ มันเป็นเครื่องยืนยันว่าการสำรวจความคิดและอารมณ์ของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเสมอ
ไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณอยากชวนคุยเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ? มีประเด็นไหนที่คุณอยากจะขยายความ หรืออยากจะแลกเปลี่ยนมุมมองเพิ่มเติมอีกไหมครับ?
คำถาม?
จิตใจที่ดิ้นรนแสวงหา กอดรัดและผลักไส ตามความต้องการและไม่ต้องการ เป็นธรรมชาติของจิตใจที่ยังไม่รู้ ธรรมชาติเดิมแท้ของตัวเราเอง ว่าปกติ มันว่าง กว้างขวาง ไร้ขอบเขตทุกๆด้าน มันจึงพยายามรักษา สภาวะบางอย่างที่ชอบใจ และพยายามผลักไส สภาวะบางอย่างที่ไม่ชอบใจ เหมือนเด็กน้อย ก่อกองทรายริมทะเล สุดท้าย ก็ต้องถูกคลื่นซัดหายไปอยู่ดี
จนกว่าจิตใจจะยอมศิโรราบ จนกว่าจะเข้าใจ จิตใจ ก็ต้องเรียนรู้ปรากฏการณ์ต่างๆ ว่ามันเป็นสิ่งชั่วคราว ไม่แน่นอน และว่างเปล่าในที่สุด
การที่จิตใจเราจะยอมศิโรราบได้ คุณพอมีหลักการอะไรจะแนะนำไหม
คำตอบ:
ขอบคุณสำหรับข้อคิดที่ลึกซึ้งมากๆ ครับ ผมชอบการเปรียบเทียบจิตใจที่ไม่รู้ธรรมชาติเดิมแท้ว่าเหมือนเด็กน้อยก่อกองทรายริมทะเล ซึ่งสุดท้ายก็ต้องถูกคลื่นซัดหายไปอยู่ดี
มันสะท้อนความจริงของการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ได้เป็นอย่างดีครับ
หลักการแห่งการ "ศิโรราบ" ต่อธรรมชาติของจิตใจ
การที่จิตใจจะ "ยอมศิโรราบ" หรือยอมรับในความเป็นจริงของสรรพสิ่งและความว่างเปล่า ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องอาศัยการฝึกฝนครับ ผมขอแนะนำหลักการพื้นฐานบางอย่างที่อาจช่วยให้จิตใจของเราค่อยๆ เข้าใจและยอมรับธรรมชาติของมันได้มากขึ้นครับ
* การเฝ้าสังเกต (Observation) โดยไม่ตัดสิน (Non-judgmental Awareness):
* หลักการ: นี่คือหัวใจสำคัญของการเข้าใจจิตใจ เราจะเรียนรู้ที่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ความคิด อารมณ์ และความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจเรา โดยไม่เข้าไปปรุงแต่ง ไม่ตัดสินว่าดีหรือไม่ดี ไม่พยายามที่จะแก้ไขหรือผลักไส
* ปฏิบัติอย่างไร: ลองฝึกสังเกตลมหายใจเข้าออกอย่างตั้งใจ สังเกตความคิดที่ผุดขึ้นมาแล้วดับไป เหมือนมองดูเมฆที่ลอยผ่านท้องฟ้า หรือคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งแล้วสลายไป การทำเช่นนี้บ่อยๆ จะช่วยให้เราเห็นว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้อยู่กับเราถาวร มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
* เชื่อมโยงกับการศิโรราบ: เมื่อเราเห็นความไม่เที่ยงแท้ของสิ่งเหล่านี้ซ้ำๆ จิตใจจะค่อยๆ คลายการยึดมั่นถือมั่นและยอมรับว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว
* การยอมรับ (Acceptance) ในปัจจุบันขณะ (Present Moment):
* หลักการ: เมื่อเราสังเกตเห็นอะไรแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการยอมรับมันอย่างที่เป็น ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ความโกรธ หรือความสับสน ยอมรับว่ามันเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ โดยไม่พยายามหนี หรือต่อต้าน
* ปฏิบัติอย่างไร: หากมีความรู้สึกไม่สบายใจเกิดขึ้น ลองบอกตัวเองว่า "โอเค ฉันกำลังรู้สึกไม่สบายใจ" หรือ "ฉันกำลังโกรธ" และปล่อยให้ความรู้สึกนั้นอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องพยายามผลักไส ไม่ต้องพยายามเปลี่ยน ปล่อยให้มันไหลผ่านไปเหมือนสายน้ำ
* เชื่อมโยงกับการศิโรราบ: การยอมรับในปัจจุบันขณะคือการหยุดการต่อสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเราหยุดต่อสู้ จิตใจก็จะเริ่มอ่อนลงและยอมรับความจริงได้ง่ายขึ้น
* การคลายการยึดมั่นถือมั่น (Non-attachment):
* หลักการ: จิตใจที่ดิ้นรนเพราะมันยึดติดกับสิ่งที่ชอบและพยายามหลีกหนีสิ่งที่เกลียด การศิโรราบหมายถึงการเข้าใจว่าสิ่งที่เรายึดติดนั้นเป็นเพียงสิ่งชั่วคราวและไม่มีอยู่จริงในแก่นแท้ของมัน (ว่างเปล่า)
* ปฏิบัติอย่างไร: เมื่อรู้สึกว่าจิตใจกำลังดิ้นรนเพื่อยึดติดกับความสุข หรือหลีกหนีความทุกข์ ลองถามตัวเองว่า "อะไรคือสิ่งที่เรากำลังยึดติดอยู่?" "มันจะอยู่กับเราตลอดไปหรือไม่?" หรือ "แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร?" การตั้งคำถามเหล่านี้จะช่วยให้เราเห็นความไม่เที่ยงและคลายการยึดมั่นได้
* เชื่อมโยงกับการศิโรราบ: เมื่อเราเห็นว่าสิ่งที่เรายึดติดนั้นไม่ได้มั่นคงถาวร จิตใจก็จะลดความพยายามในการกอดรัดหรือผลักไสลง และเริ่มเข้าใจความว่างเปล่าของสรรพสิ่ง
* ความเมตตาต่อตนเอง (Self-compassion):
* หลักการ: การเดินทางนี้อาจจะไม่ง่ายนัก และจิตใจก็อาจจะยังคงดิ้นรนเป็นบางครั้ง การมีเมตตาต่อตนเองคือการเข้าใจและให้อภัยตัวเองเมื่อเรายังทำไม่ได้ตามที่เราต้องการ ไม่ใช่การตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง
* ปฏิบัติอย่างไร: เมื่อรู้สึกท้อแท้หรือผิดหวังในตัวเอง ลองปลอบประโลมตัวเองเหมือนปลอบเพื่อนสนิทที่กำลังเจอเรื่องยากลำบาก บอกตัวเองว่า "ไม่เป็นไร" "มันเป็นเรื่องปกติ"
* เชื่อมโยงกับการศิโรราบ: ความเมตตาจะช่วยให้จิตใจเราอ่อนโยนและเปิดกว้างมากขึ้น ลดความแข็งกระด้างที่เกิดจากการต่อต้านตัวเอง ทำให้การยอมศิโรราบเป็นไปได้ง่ายขึ้น
เส้นทางแห่งการเรียนรู้
การที่จิตใจจะ "ยอมศิโรราบ" นั้น ไม่ใช่ปลายทาง แต่เป็น "เส้นทางแห่งการเรียนรู้" ครับ มันคือการค่อยๆ ทำความเข้าใจธรรมชาติของจิตใจและโลกใบนี้อย่างลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับที่เด็กน้อยเรียนรู้ว่ากองทรายริมทะเลไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไปเมื่อคลื่นซัดมา
หลักการเหล่านี้อาจจะต้องใช้เวลาและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องครับ แต่เมื่อเราค่อยๆ ซึมซับและเข้าใจธรรมชาติของจิตใจที่ "ว่าง กว้างขวาง ไร้ขอบเขต" มันจะช่วยให้เราเผชิญกับปรากฏการณ์ต่างๆ ในชีวิตได้อย่างสงบและเป็นอิสระมากขึ้น
มีประเด็นไหนที่คุณอยากจะแลกเปลี่ยนหรือสอบถามเพิ่มเติมไหมครับ?
คำถาม?
การที่จิตใจ ยอมศิโรราบ คุณบอกว่าไม่ใช่ปลายทาง แต่เป็นเส้นทางแห่งการเรียนรู้
แล้วปลายทางคืออะไรครับ
คำตอบ:
ยอดเยี่ยมเลยครับที่ถามต่อยอดในประเด็นนี้! เป็นคำถามที่สำคัญมากครับ เพราะมันช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของการเดินทางทางจิตวิญญาณได้ชัดเจนขึ้น
ปลายทาง...คือสภาวะแห่ง "ความเป็นอิสระ"
หาก "การยอมศิโรราบ" คือเส้นทางแห่งการเรียนรู้และคลายการยึดมั่นถือมั่น ปลายทางที่เรามุ่งไปถึงก็คือ สภาวะแห่ง "ความเป็นอิสระ" ครับ
ความเป็นอิสระในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการปราศจากปัญหาหรือความทุกข์โดยสิ้นเชิง แต่คือ อิสระจากพันธนาการของจิตใจที่ดิ้นรน ยึดมั่นถือมั่น และปรุงแต่ง มันคือสภาวะที่จิตใจเข้าใจและเห็นแจ้งในธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่งอย่างถ่องแท้ว่า:
* ไม่เที่ยง (Anicca): ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีอะไรคงอยู่ถาวร
* เป็นทุกข์ (Dukkha): การยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงนำมาซึ่งความไม่สมปรารถนาและทุกข์
* อนัตตา (Anatta): ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่มีแก่นสารที่เที่ยงแท้ของสิ่งใดๆ
เมื่อจิตใจเห็นแจ้งในไตรลักษณ์นี้อย่างลึกซึ้ง มันจะหยุดการแสวงหา กอดรัด และผลักไส เพราะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากการปรุงแต่งของจิตเอง
ลักษณะของ "ปลายทาง" (สภาวะแห่งอิสระ)
ปลายทางนี้อาจเรียกได้หลากหลายตามแต่ละแนวคิดทางจิตวิญญาณ เช่น นิพพาน ในพระพุทธศาสนา, การรู้แจ้ง (Enlightenment), การตื่นรู้ (Awakening), หรือ การเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร ลักษณะสำคัญของสภาวะนี้คือ:
* ความสงบที่แท้จริง (True Peace): เป็นความสงบที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายนอก ไม่ว่าโลกภายนอกจะวุ่นวายแค่ไหน จิตใจก็ยังคงสงบและมั่นคง
* ความเป็นอิสระจากทุกข์ (Freedom from Suffering): ไม่ใช่การไม่มีทุกข์ แต่คือการที่ทุกข์ไม่สามารถเข้ามารบกวนจิตใจได้ เพราะเข้าใจธรรมชาติของมันและไม่ยึดติดอีกต่อไป
* ความตื่นรู้และชัดเจน (Clarity and Awareness): จิตใจจะเห็นสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ปราศจากม่านแห่งอวิชชาและความหลงผิด มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในทุกขณะ
* ความเมตตาและกรุณาที่ไร้ขอบเขต (Boundless Compassion): เมื่อจิตใจหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง มันจะเปิดกว้างและแผ่ขยายความรักความเมตตาไปยังสิ่งมีชีวิตทั้งปวงโดยธรรมชาติ
* ความว่างเปล่าที่สมบูรณ์ (Profound Emptiness): นี่คือการเข้าใจว่าทุกสิ่งว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีขอบเขต ทำให้จิตใจเป็นอิสระจากความคิดเรื่อง "ฉัน" และ "ของฉัน"
ความสัมพันธ์ระหว่าง "เส้นทาง" และ "ปลายทาง"
เส้นทางแห่งการยอมศิโรราบคือการค่อยๆ ลอกเปลือกของความหลงผิดและความยึดมั่นออกทีละชั้นๆ จนกระทั่งจิตใจได้สัมผัสกับ ธรรมชาติเดิมแท้ ของมันเอง ซึ่งก็คือ ความว่าง กว้างขวาง ไร้ขอบเขต ที่คุณได้กล่าวไว้ นั่นแหละคือสิ่งที่ดำรงอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ถูกบดบังด้วยการดิ้นรนปรุงแต่ง
ดังนั้น ปลายทางจึงไม่ใช่การสร้างอะไรใหม่ขึ้นมา แต่เป็นการ กลับไปสู่สภาพเดิมแท้ ที่บริสุทธิ์และเป็นอิสระอยู่แล้ว เพียงแต่เราหลงลืมและถูกครอบงำด้วยสิ่งปรุงแต่งต่างๆ
การเดินทางนี้อาจดูเหมือนเป็นการเดินทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทุกย่างก้าวของการยอมศิโรราบ คือการค่อยๆ สัมผัสถึงอิสรภาพที่อยู่ภายในตัวเราเองครับ
มีประเด็นไหนที่คุณอยากให้ผมอธิบายเพิ่มเติม หรืออยากจะแลกเปลี่ยนมุมมองอีกไหมครับ?
คำถาม?
ผมพอเข้าใจแล้วครับ
ถ้ามองในมุมของเหตุและผล
การยอมศิโรราบ แต่ละครั้งแต่ละปรากฏการณ์
ก็เป็นเส้นทาง เป็นเหตุ
ให้จิตใจได้เรียนรู้และเข้าใจ
สุดท้ายปลายทาง ก็คือผล นั่นคือความเป็นอิสระ
ไม่ต้องพูดถึงการยอมศิโรราบ ไม่ต้องอธิบายอะไร เพราะความเป็นอิสระ ได้เปิดเผยตัวอย่างสมบูรณ์แล้ว
อนุโมทนาสาธุครับผมกับคำอธิบาย
คำตอบ:
เป็นคำสรุปที่ยอดเยี่ยมและถูกต้องที่สุดเลยครับ!
เหตุและผลของการเดินทางของจิตใจ
ถูกต้องเลยครับ การมองผ่านมุมของ เหตุและผล ทำให้ภาพชัดเจนและเป็นระบบมากขึ้น:
* เหตุ: การ "ยอมศิโรราบ" ในแต่ละปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ หรือความรู้สึก คือการที่เราเปิดใจเรียนรู้ ยอมรับในความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น โดยไม่ยึดมั่น ไม่ต่อต้าน
* เส้นทาง: การยอมศิโรราบในแต่ละครั้ง จึงเป็น "เส้นทาง" ที่ค่อยๆ พาจิตใจให้เรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง (ความไม่เที่ยง, ความทุกข์, ความว่างเปล่า) อย่างลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนการสะสมความเข้าใจทีละเล็กละน้อย
* ผล: เมื่อความเข้าใจในธรรมชาติเดิมแท้ของจิตใจและสรรพสิ่งถึงที่สุด จิตใจก็จะก้าวเข้าสู่ "ความเป็นอิสระ" อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นภาวะที่ปราศจากการปรุงแต่ง การยึดมั่นถือมั่น และความดิ้นรนใดๆ อีกต่อไป
เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึง "การยอมศิโรราบ" อีกต่อไป เพราะสิ่งที่เคยเป็นเหตุ (การยอมศิโรราบ) ได้ทำงานของมันอย่างสมบูรณ์แล้ว และ "ความเป็นอิสระ" ซึ่งเป็นผลลัพธ์สูงสุด ก็ได้เปิดเผยตัวอย่างสมบูรณ์ ไม่มีอะไรจะต้องอธิบายเพิ่มเติม เพราะได้เข้าถึงแก่นแท้โดยตรงแล้ว
ผมดีใจมากครับที่คำอธิบายของผมมีส่วนช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของสิ่งเหล่านี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และขออนุโมทนาสาธุกับความเข้าใจอันลึกซึ้งของคุณเช่นกันครับ! การแลกเปลี่ยนมุมมองในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
ธรรมะ
บันทึก
2
3
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย