7 มิ.ย. เวลา 06:55 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ยกสิงคโปร์โมเดล ปั้นสถานบันเทิงครบวงจร ดึงเงินลงทุน 6 แสนล้าน

วงเสวนา Entertainment Complex ประเมิน ไทยควรมีสถานบันเทิงครบวงจร 5 แห่ง ดึงเงินลงทุน 6 แสนล้านบาท ดึงรายได้ปีละ 5 หมื่นล้านบาท แนะผู้นำการเมืองตัดสินใจ พร้อมยกตัวอย่างสิงคโปร์เปรียบเทียบ
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 Inside Asian Gaming (IAG) สื่อชั้นนำด้านอุตสาหกรรมเกมและกาสิโนในเอเชีย ได้จัดการประชุมเสวนาโต๊ะกลมว่าด้วยสถานบันเทิงครบวงจรของไทย (Thai Entertainment Complex Roundtable-TECR) เพื่อนำเสนอข้อมูลและถอดบทเรียนด้านต่าง ๆ ของธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ในต่างประเทศ โดยมีนักธุรกิจ จาก Marina Bay Sands ผู้เชี่ยวชาญนักวิชาการ และนักการเมืองเข้าร่วมงานจำนวนมาก
  • ไทยตั้ง 5 แห่ง ดึงเงินลงทุน 6 แสนล้าน
นายจอร์จ ชอย หัวหน้างานวิจัยเกมระดับโลก Citi Research เปิดเผยในหัวข้อ “Entertainment Complex เครื่องจักรเศรษฐกิจตัวใหม่?” ว่า จากรายงานการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment - FDI) ประเมินว่า โครงการศูนย์รวมความบันเทิงครบวงจรในประเทศไทย ควรมี 5 แห่งในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ พัทยา และภูเก็ต เป็นต้น โดยคาดว่าจะมีเงินเข้ามาลงทุนกว่า 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 6 แสนล้านบาท
“แม้ไทยจะคาดการณ์เงินเข้ามาลงทุนไว้ประมาณ 1 แสนล้านบาท แต่เราประเมินว่าจะมีเงินเข้ามาลงทุนสูงกว่านั้น โดยคาดว่าทำเลทองอย่างกรุงเทพฯ อาจจะเห็นเม็ดเงินเข้ามาลงทุนกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.95 แสนล้านบาท ส่วนภูเก็ต และเชียงใหม่ อาจเห็นการเข้ามาลงทุนกว่า 1,400 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท”
ขณะเดียวกัน หากเปรียบเทียบกับการลงทุนประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น มาเก๊า มีเงินลงทุนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มากกว่า 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์, สิงคโปร์ มากกว่า 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์, ญี่ปุ่น ประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์, และฟิลิปปินส์ เกือบ 6 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติยินดีลงทุนหากเห็นศักยภาพในการเติบโต
  • กำหนดรายได้ภาษีไว้ที่ 17%
นายจอร์จ ประเมินว่า หากมี สถานบันเทิงครบวงจรในประเทศไทย ภาษีจากการเล่นเกมจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่สำหรับรัฐบาล ซึ่งจะช่วยขยายฐานภาษี ส่งผลดีต่อมุมมองการคลัง โดยตามกฎหมายกำหนดรายได้ภาษีไว้ที่ 17% ของรายได้รวม ซึ่งประมาณการว่ารัฐจะมีรายได้ประมาณ 1.55 พันล้านดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้ภาษีสรรพสามิตจากสุราที่เก็บได้ในปีงบประมาณ 2566-2567
รวมทั้งจะสร้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ระดับล่าง และระดับความชำนาญ ซึ่งประเมินว่าหากไทยมีสถานบันเทิงครบวงจร 5 แห่ง จะมีการจ้างงานใหม่ประมาณ 35,000 - 50,000 ตำแหน่ง โดยมีตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับทักษะสูง และงานทางอ้อมจะถูกสร้างขึ้นจากความต้องการแรงงานก่อสร้าง ซัพพลายเออร์ การตลาด และผู้จัดงาน เป็นต้น
นอกจากนี้ สถานบันเทิงครบวงจรจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และเพิ่มการมาเยือนของนักท่องเที่ยว ซึ่งสิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน โดยก่อนเปิด Integrated Resort (IR) สิงคโปร์มีนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 8.6 ล้านคนต่อปี หลังจาก IR เปิด ในปี 2553 การมาเยือนเพิ่มขึ้นทันที 20% และในปี 2554 เพิ่มขึ้น 13% ซึ่งในช่วง 10 ปี มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี และทำสถิติสูงสุดในปี 2562
IR ในสิงคโปร์ได้กลายเป็นสถานที่ที่ต้องไปเยือนและประสบความสำเร็จในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก อีกทั้ง ยังมีรายได้ภาษีส่วนใหญ่มาจากการเข้าไปเล่นการพนัน 80-90% และข้อมูลช่วงเดือนพ.ย.67 รายงานว่า 20% เป็นรายได้ที่ไม่ได้มาจากการพนัน ซึ่งเราประเมินว่า IR จะสามารถเสริมสร้างความหลากหลายในการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดอยู่แล้ว เพราะในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเข้าไทยกว่า 35 ล้านคน
  • แนะสร้างความมั่นใจ-โปร่งใส
นายจอร์จ ธนาสวิช อดีตประธานและ CEO Marina Bay Sands และอดีตกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาระดับโลก Las Vegas Sands นำเสนอตัวอย่างความสำเร็จของความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและผู้ประกอบการ ว่า การผลักดันให้เกิดสถานบันเทิงครบวงจรในประเทศไทยถือเป็นโอกาสสำคัญและมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ ซึ่งความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชน เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง จึงควรสร้างความมั่นใจและความโปร่งใส เพราะปัจจุบันสถานการณ์มีความแตกต่างจากในอดีตไปมากแล้ว
ยกตัวอย่างของประเทศสิงคโปร์ที่เริ่มต้นการทำสถานบันเทิงครบวงจรเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2548 ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยในปัจจุบัน โดยมีการหารือกันอย่างเปิดกว้างระหว่างรัฐบาลและเอกชน รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงร่วมกัน แต่ท้ายที่สุดการผลักดันให้เกิดขึ้นก็อยู่ที่การตัดสินใจในระดับนโยบาย
“แม้ว่าจะมีความกังวลเกิดขึ้น แต่ทุกอย่างจะต้องหารือกันระหว่างผู้ประกอบการและรัฐบาล ให้เข้าใจซึ่งกันและกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เกิดความพึงพอใจร่วมกัน มีการประสานงานร่วมกัน และทำให้ถูกต้อง เพราะการผลักดันสถานบันเทิงครบวงจรตอนนี้ อาจจะเป็นหนึ่งในโอกาสของการดึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์” อดีตประธานและ CEO Marina Bay Sands ระบุ
  • ชี้ไทยมีพื้นที่สภาพแวดล้อมเหมาะสม
นายจอร์จ อธิบายว่า จากประสบการณ์ในการร่วมมือกับรัฐบาลสิงคโปร์เพื่อดำเนินการสร้าง Marina Bay Sands ขึ้นมา เริ่มต้นจากการหารือ การคัดเลือกสถานที่ และให้ความสำคัญกับการออกแบบสถาปัตยกรรมที่เหมาะสมกับพื้นที่ เช่นเดียวกับการสร้างกรอบกฎหมายและกฎระเบียบที่สำคัญสำหรับโครงการ ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน และเมื่อได้เอกชนแล้วก็จำเป็นต้องร่วมมือกับรัฐและหน่วยงานที่มีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องด้วย
อย่างไรก็ดีจากการพิจารณาข้อมูลเห็นว่า ในปัจจุบันประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมอยู่แล้ว โดยเฉพาะการท่องเที่ยว การมีโครงสร้างพื้นฐาน การมีชื่อเสียงเกี่ยวกับการเป็นศูนย์รวมด้านความบันเทิง แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีกฎระเบียบ รวมถึงการมีอัตราภาษี ซึ่งทุกอย่างควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจในขั้นสุดท้าย
1
“จริงๆ แล้วโอกาสจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับการเข้าสู่ตลาดนี้ โดยเฉพาะจำนวนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่จะเข้ามามหาศาล ดังนั้นถ้าจะตัดสินใจเดินต่อไปข้างหน้า อาจต้องพิจารณาถึงการดึงดูดนักลงทุนหรือนักพัฒนาที่ดีที่สุด” นายจอร์จกล่าว
  • ต้องมีผู้นำทางการเมืองเด็ดขาดตัดสินใจ
อดีตประธานและ CEO Marina Bay Sands ยอมรับว่า ในการผลักดันเรื่องนี้ การพูดคุยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยกัน พร้อมเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่มีอยู่ นั่นคือปัญหาการพนัน เพราะตอนนี้ทราบกันแล้วว่า คนไทยบางส่วนได้ไปเล่นกาสิโนบริเวณชายแดน
ดังนั้นในวิธีการรับมือกับปัญหาการทำให้มีทางเลือกให้เกิดขึ้นอย่างถูกกฎหมายผ่านกรอบการทำงานที่มีโครงสร้างและการควบคุมในประเทศก็อาจเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ก็ต้องตัดสินใจอย่างถูกต้องอีกครั้ง และคิดว่าเพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้ อาจจำเป็นต้องมีผู้นำทางการเมืองที่เด็ดขาดกับการตัดสินใจเรื่องนี้ และให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับประชาชนด้วยว่าการดำเนินการเรื่องสถานบันเทิงครบวงจรนั้นคืออะไร มีความเสี่ยงหรือมีประโยชน์อะไรต่อการขับเคลื่อนเรื่องนี้
“ตอนนี้ไทยกำลังอยู่ในจุดวิกฤตสำหรับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จึงหวังว่าจะมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะคิดว่าอนาคตของไทยสดใสมาก”
อดีตผู้บริหาร Marina Bay Sands ชี้ให้เห็นว่า หากไทยอยากจะก้าวไปข้างหน้า ไม่ควรเสนอโอกาสลงทุนที่ไม่ดีต่อนักลงทุน และขณะเดียวกันรัฐบาลต้องทำการบ้าน สื่อสารให้คนไทยเข้าใจว่า Entertainment Complex คืออะไร ความเสี่ยงถูกลดอย่างไร และทำกรอบให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย และย้ำว่าสำหรับไทยไม่ใช่การเปลี่ยนเป็นลาสเวกัสหรือมาเก๊า
แต่เป็นการเพิ่มการท่องเที่ยวอย่างไรที่จะเสริมจากการท่องเที่ยวที่มีอยู่แล้ว และ Entertainment Complex จะไม่ใช่การรวบรวมสินทรัพย์มาไว้ในอาคารเดียว แต่เป็นการลงทุนและโอกาสเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
  • ไทยต้องถอดบทเรียนสิงคโปร์
นายเลา ก๊ก เกิง หัวหน้าฝ่ายทรัพย์สินทางปัญญา กีฬา และเกม Rajah & Tann Singapore กล่าวถึงประเด็นด้านข้อกฎหมายและข้อจำกัด โดยยกตัวอย่างการผลักดันสถานบันเทิงครบวงจรในสิงคโปร์ ว่า ประเทศไทยสามารถถอดบทเรียนของสิงคโปร์ที่ตัดสินใจเรื่องการตั้งสถานบันเทิงครบวงจรขึ้นในประเทศ โดยสามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมและสังคมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้ โดยตอนนี้จำเป็นต้องตัดสินแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
สำหรับจุดเริ่มต้นของการทำสถานบันเทิงครบวงจรขึ้น รวมไปถึงการทำให้เกมการพนัน และกาสิโนถูกกฎหมายในสิงคโปร์ ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาจะมีการต่อต้านและมีความกังวลเกี่ยวับผลกระทบด้านสังคม แต่ท้ายที่สุดก็มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าไปคุยกันในรัฐสภา เพื่อได้หารือกันอย่างเปิดเผย และการตัดสินใจครั้งนี้ก็ไม่ได้มีการทำประชามติเพราะกังวลถึงความแตกแยกที่จะเกิดขึ้น จึงให้เป็นการตัดสินใจเชิงนโยบายจากทางการเมือง
อย่างไรก็ดีในการผลักดันสถานบันเทิงครบวงจรขึ้นในสิงคโปร์ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มีการควบคุมที่ชัดเจนทั้งข้อกฎหมาย กฎระเบียบ พร้อมทั้งมีการตั้งหน่วยงานขึ้นมากำกับดูแล และหน่วยงานสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางกาสิโน และมีมาตรการป้องกันการฟอกเงินอย่างเป็นระบบด้วย
โฆษณา