7 มิ.ย. เวลา 15:24 • ข่าวรอบโลก

เส้นทางสู่หุ้นส่วนข้ามภูมิภาค: ไทย–คาซัคสถานกับการปักหมุดบทบาทยุทธศาสตร์ในภูมิภาคยูเรเซีย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐคาซัคสถานได้แสดงให้เห็นถึงพลวัตที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงแนวโน้มของความร่วมมือที่กำลังปรับตัวให้สอดรับกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะภายใต้สภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ในระดับนานาชาติ ประเทศทั้งสองตระหนักถึงความจำเป็นของการเปิดกว้างเชิงยุทธศาสตร์ และมุ่งพัฒนาเครือข่ายหุ้นส่วนในลักษณะ “ข้ามภูมิภาค” (interregional cooperation)
ซึ่งให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และวัฒนธรรมในเชิงโครงสร้างและยั่งยืน การเคลื่อนตัวในลักษณะนี้ไม่เพียงสะท้อนความสอดคล้องของผลประโยชน์ร่วม แต่ยังเปิดโอกาสให้ทั้งสองประเทศมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในเวทีภูมิภาคและระหว่างภูมิภาคในฐานะหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพ
ในมิติความสัมพันธ์ทางการทูต ไทยและคาซัคสถานได้สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 และต่างมีสถานเอกอัครราชทูตประจำอยู่ในกรุงเทพมหานครและกรุงอัสตานาตามลำดับ ความสัมพันธ์ทวิภาคีได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกการเยือนระดับสูงและการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับนโยบาย
กระทั่งในช่วงปี 2024–2025 ความสัมพันธ์ดังกล่าวได้ถูกยกระดับขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการลงนามในข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน ตลอดจนนโยบายยกเว้นการขอวีซ่าสำหรับพลเมืองของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดข้อจำกัดเชิงสถาบัน แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้เกิดการขยายตัวของการเดินทาง การค้า และการลงทุนระหว่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ในด้านเศรษฐกิจ แม้ว่ามูลค่าการค้าระหว่างไทยกับคาซัคสถานจะยังอยู่ในระดับไม่สูงนักเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญในภูมิภาค แต่แนวโน้มการเติบโตของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศกลับมีความชัดเจนและมั่นคง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง อาทิ ยานยนต์ เครื่องมือแพทย์ อาหารแปรรูป พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีดิจิทัล
ทั้งนี้ รายงานล่าสุดได้ชี้ให้เห็นว่าคาซัคสถานได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างบทบาทของตนในฐานะศูนย์กลางการค้าของยูเรเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านเส้นทาง Middle Corridor และโครงการ Khorgos Gateway ซึ่งมีศักยภาพในการเชื่อมต่อโดยตรงกับโครงข่ายโลจิสติกส์ของไทยในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)
การบูรณาการในลักษณะนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการขนส่งและระยะเวลาในการเคลื่อนย้ายสินค้า แต่ยังมีส่วนสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของทั้งสองประเทศในเวทีการค้าเอเชีย–ยุโรป
ในมิติโลจิสติกส์ ความร่วมมือระหว่างไทยกับคาซัคสถานได้ยกระดับสู่การเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ โดยทั้งสองประเทศมีศักยภาพในการพัฒนาเส้นทางการค้าร่วมกันในรูปแบบบูรณาการทางบกและทางทะเล โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังในประเทศไทย กับศูนย์ขนส่งภาคพื้นดินของคาซัคสถานซึ่งตั้งอยู่ตามแนวเส้นทางยุทธศาสตร์ของโครงการ Middle Corridor การบูรณาการเชิงโครงสร้างนี้มีศักยภาพในการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์
เพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน และสร้างเครือข่ายการค้าระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับยุโรปที่มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองประเทศยังมีแนวโน้มที่จะพัฒนาระบบดิจิทัลร่วมกันในด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า เช่น ระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์
การติดตามสินค้าผ่านเทคโนโลยีแบบเรียลไทม์ และการแบ่งปันข้อมูลด้านโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการสร้างระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัยและมีความสามารถในการแข่งขันระดับภูมิภาค
ในด้านการท่องเที่ยว ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับคาซัคสถานมีพัฒนาการที่โดดเด่นและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยในปี 2024 ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากคาซัคสถานมากกว่า 220,000 คน ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากปัจจัยเชิงนโยบายที่สำคัญ ได้แก่ การยกเว้นวีซ่าระหว่างกัน การเพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างเมืองหลัก และการดำเนินกลยุทธ์การตลาดเฉพาะกลุ่มโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ขณะเดียวกัน คาซัคสถานได้แสดงบทบาทเชิงรุกในการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของตน โดยมีการดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานกว่า 80 โครงการในหลากหลายภูมิภาค ครอบคลุมพื้นที่ที่มีศักยภาพเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ เพื่อยกระดับการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
ในบริบทนี้ ประเทศไทยมีโอกาสที่จะขยายบทบาทของตนในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในมิติเชิงนโยบาย มาตรฐานบริการ และการพัฒนาทุนมนุษย์ ไทยยังสามารถเป็นหุ้นส่วนในด้านการอบรมบุคลากรด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาหลักสูตรร่วม และการลงทุนในภาคบริการ เช่น โรงแรมระดับสากลและการจัดการเส้นทางท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์
ทั้งนี้ ความร่วมมือในภาคการท่องเที่ยวไม่เพียงสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจระหว่างประชาชน และขยายบทบาททางวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศในเวทีระหว่างภูมิภาค
อย่างไรก็ดี ความร่วมมือระหว่างไทยกับคาซัคสถานยังเผชิญกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้างหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างด้านกฎระเบียบ ระบบโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังพัฒนาไม่เต็มศักยภาพ ตลอดจนช่องว่างด้านข้อมูลและความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดของภาคเอกชนในทั้งสองประเทศ
ประเด็นเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบผ่านการวางแผนยุทธศาสตร์ร่วมในระยะยาว มาตรการที่อาจมีบทบาทสำคัญ ได้แก่ การจัดตั้งสภาความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย–คาซัคสถาน เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐและเอกชน
การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถเข้าถึงโอกาสทางการค้าและการลงทุนในตลาดใหม่ และการส่งเสริมการบูรณาการเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดน ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการยกระดับความร่วมมือให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับคาซัคสถานกำลังก้าวเข้าสู่ระยะใหม่ของการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความเข้าใจเชิงโครงสร้าง และเป้าหมายร่วมด้านการพัฒนาในระยะยาว ความร่วมมือระหว่างสองประเทศมิได้จำกัดอยู่เพียงในระดับพิธีการทางการทูต หากแต่กำลังพัฒนาไปสู่ความร่วมมือที่มีความลึกและหลากหลายในเชิงระบบ ครอบคลุมทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการพัฒนาอย่างยั่งยืน หากสามารถออกแบบและขับเคลื่อนกลไกความร่วมมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสัมพันธ์ไทย–คาซัคสถานย่อมมีศักยภาพที่จะกลายเป็นต้นแบบของความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาในรูปแบบ “ความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา” (South–South cooperation) ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับเอเชียกลางในบริบทของภูมิภาคยูเรเซียที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โฆษณา