8 มิ.ย. เวลา 12:30 • ไลฟ์สไตล์

"ทางเลือกที่สาม" ของพนักงานประจำ ไม่ชอบงานที่ทำ แต่ยังลาออกไม่ได้

✉️ ถ้าคุณเปิดอ่านบทความนี้ มีความเป็นไปได้ว่า 1) คุณไม่ชอบงานที่ทำอยู่สักเท่าไหร่ 2) ขณะเดียวกันชีวิตต้องดำเนินต่อไป เราต้องทำงานเพื่อหารายได้ และด้วยความรับผิดชอบ สถานการณ์ หรือตลาดแรงงานยังไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่ เลยยังตัดสินใจลาออกไม่ได้ซะทีเดียว
ตื่นเช้ามาแล้วไม่อยากไปทำงานเลย แต่ต้องลากร่างกายที่เหมือนไร้จิตวิญญาณออกไปที่ออฟฟิศให้มันจบไปแต่ละวัน
คำแนะนำที่เราได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มักจะแยกออกเป็นสองทางเลือกใหญ่ๆ
1) ทนๆ ทำไปเถอะ มันคืองาน มันคือระบบ ฯลฯ
2) ถ้าไม่ชอบก็ออกมาทำธุรกิจของตัวเองสิ
ทางเลือกแรกก็ดูโหดร้าย ทางเลือกที่สองก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน (หรือไม่ได้เหมาะกับช่วงจังหวะชีวิต)
แต่ที่จริงแล้วมันมี ‘ทางเลือกที่สาม’ ที่อาจจะเพิ่มความสุขของเราได้ โดยยังไม่ต้องลาออกจากงาน
แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าความสุขในที่ทำงานมีปัจจัยอะไรบ้าง
❣️ [ ปัจจัยที่ทำให้งานของคุณมีความสุข ]
พอพูดถึงเรื่องปัจจัยของความสุขในหน้าที่การงาน หลายคนอาจจะคิดว่า ‘ก็เงินเดือนเยอะๆ สิ’ ถ้าเงินถึง ความสุขก็มากขึ้นไปด้วย
คงค้านไม่ได้ว่า รายได้จะเป็นปัจจัยหนึ่ง เพราะทุกคนที่ทำงานก็คาดหวังว่าจะได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ
แต่ถ้านอกเหนือจากเรื่องเงินละ?
📖 แดเนียล เอช. พิงก์ (Daniel H. Pink) นักเขียนและนักพูดชาวอเมริกัน ซึ่งเชื่อมวิทยาศาสตร์พฤติกรรม กับโลกของการทำงาน และชีวิตประจำวันผ่านงานเขียนขายดีระดับ New York Times อธิบายเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ “Drive: The Surprising Truth About What Motivates Us” ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้งาน “มีความสุข” หรือสร้างแรงจูงใจเชิงบวกอย่างยั่งยืนมีอยู่ 3 ข้อใหญ่ ๆ
1. Autonomy – ความเป็นอิสระ : อิสระในการกำหนด เวลา (When), งาน (What), วิธี (How) และ เพื่อนร่วมงาน (Who) เพราะเมื่อเราควบคุมวิถีการทำงานได้เอง จะรู้สึก “เป็นเจ้าของ” ผลลัพธ์ → ลดความเครียดจากการถูกสั่งบังคับ และเพิ่มพลังใจในการลงมือ
2. Mastery – ความเชี่ยวชาญ : โอกาสได้ฝึกฝนจนเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านงานที่มี ความท้าทายเหมาะสม (ไม่ง่าย/ยากเกินไป) และ ฟีดแบ็ก ที่ช่วยให้เห็นพัฒนาการ เพราะสมองจะหลั่งสาร “โดพามีน” ทุกครั้งที่เราก้าวหน้าเล็ก ๆ → เกิด “วงจรความสุข” จากการเรียนรู้ และทำให้โฟกัสกับงานแบบ flow
3. Purpose – ความหมาย : การเชื่อมงานที่ทำเข้ากับเป้าหมายที่ใหญ่กว่า “แค่ตัวเลขในสเปรดชีต” เช่น ช่วยชีวิตคน / ยกระดับคุณภาพชีวิตลูกค้า เมื่อมองเห็นผลกระทบเชิงบวกต่อโลก ภายในจะรู้สึก มีคุณค่า (self-worth) → ยอมทุ่มเทมากขึ้นโดยไม่รู้สึกฝืน
แต่ปัญหาก็คือว่าเราในวันแรก (หรือช่วงปีแรกๆ) ของการทำงาน เราจะไม่สามารถมีทั้งสามอย่างนี้ได้พร้อมๆ กัน หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการทำงานของเราจึงไม่มีความสุข
แล้วทำยังไงดี?
คาร์ล นิวพอร์ต (Carl Newport) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ (Georgetown University) และนักเขียนที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการจัดการเวลา การโฟกัส และการใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติ ได้อธิบายไว้ในหนังสือ “So Good They Can’t Ignore You” ว่าแทนที่จะวิ่งตามหาสิ่งที่เรียกว่า Passion ให้เรามุ่งมั่นสร้างทักษะจนเก่งจนใครก็เมินไม่ได้จะดีกว่า
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเก่งจน เราจะได้เรื่องของ ‘Mastery’ (หรือความเชี่ยวชาญ) ซึ่งนำมาซึ่งความสุขแล้วในระดับหนึ่ง
พอเริ่มเก่ง คุณจะกลายเป็นพนักงานที่มีความสามารถ ทดแทนได้ยาก ซึ่งจะนำไปสู่สิ่งที่นิวพอร์ตเรียกว่า ‘Career Capital’ หรือ ‘ทุนอาชีพ’ ที่เราสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นทางเลือกในการทำงานที่มี Autonomy (อิสระ) มากขึ้น
เมื่อสามารถเลือกได้มากขึ้นก็มีความยืดหยุ่นพอที่จะเลือกงานหรือโปรเจกต์ที่มี Purpose (เป้าหมาย) ให้กับเรามากกว่าแค่ตัวเงินนั่นเอง
หากตอนนี้เราไม่มีความสุขในที่ทำงาน ความเป็นไปได้คืองานที่ทำนั้นคงขาดปัจจัยบางข้อ (หรือทั้งหมด) ไป
🛣️ [ 3 เส้นทางสู่การเพิ่มระดับความพึงพอใจในที่ทำงาน ]
ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าความสุขจากงานมีส่วนประกอบอะไรบ้าง มันมีทางไหนบ้างที่จะไปให้ถึงตรงนั้น?
[แน่นอนว่าการที่ใครจะไม่ชอบงานที่ทำอยู่ อาจจะมีปัจจัยภายนอกอื่นๆ อีกมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ Toxic, วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เอื้อต่อการเติบโต, ระบบในองค์กรที่ทำให้งานไม่ได้ออกมาอย่างที่ต้องการ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ เปรียบเหมือนคลื่นลมกลางและพายุกลางทะเลระหว่างการเดินทาง
แต่ในทุกการเดินทาง ก็จะมีบางอย่างที่เราควบคุมได้ ถ้าเราเป็นเรือลำหนึ่งที่ต้องปรับแต่ง จัดใบพัด หมุนหางเสือเอาตัวให้รอดและมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายของตัวเองที่วางเอาไว้ ซึ่งคำแนะนำต่อจากนี้ก็จะอยู่ในส่วนที่เราควบคุมได้ ถ้ามีประโยชน์สามารถหยิบไปใช้ได้ ถ้าไม่มีประโยชน์ก็ทิ้งไป]
☕ 1. ทางระยะสั้น (ปรับเปลี่ยนเพื่อให้การทำงานแต่ละวันดีขึ้น)
ซาฮิล บลูม (Sahil Bloom) ผู้เขียนหนังสือ ‘5 Types of Wealth’ บอกว่าคนทำงานส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เกลียดทุกอย่างของงาน 100% มันจะมีส่วนที่ดีส่วน ส่วนที่แย่ และส่วนที่ธรรมดา
เขาแนะนำว่าให้ลองแบ่งงานของตัวเองออกมาในแต่ละวันว่าทำอะไรบ้าง
หลังจากนั้นให้ลองแยกว่ามันเป็นงานที่
1) เพิ่มแรงบวกในชีวิต (Energy Creating) ให้ใส่สีเขียว
2) ดูดพลังชีวิต (Energy Draining) ให้ใส่สีแดง
3) ไม่ได้ส่งผลอะไรมาก (Energy Neutral) ให้ใส่สีเหลือง
พอสิ้นสัปดาห์เราจะเห็นแล้วว่างานหน้าตาของงานที่เราทำตลอดทั้งอาทิตย์มีสัดส่วนเป็นยังไง และงานส่วนไหนบ้างที่เราต้องปรับเปลี่ยน
เป้าหมายคือเปลี่ยนงานที่เป็นสีแดงให้เป็นสีเขียวเพิ่มขึ้น (เขียวหมดคงไม่ได้หรอก) แบบนี้ก็จะช่วยทำให้ชีวิตการทำงานของคุณมีความสุขขึ้นได้
อีกวิธีหนึ่งคือการหาโปรเจกต์ในที่ทำงานที่เราสนใจแล้วลองเสนอตัวทำดู งานนั้นจะเพิ่มความสุขในส่วนของ Purpose และส่งผลดีไปยังงานส่วนอื่นๆ ด้วย
🔨 2. ทางระยะยาว (Long Term Path)
พี่โจ้-ธนา เธียรอัจฉริยะ (ผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจ-การตลาดมาอย่างยาวนาน มีผลงานมากมายตั้งแต่ Happy ของ DTAC แม่มณี และ Robinhood ของ SCB) เขียนไว้ในหนังสือ ‘วิถีคนปานกลาง’ ว่าตัวเขาเองก็เป็นคนกลางๆ เช่นเดียวกัน ทั้งเรื่องเรียน ทักษะ คอนเน็กชัน ครอบครัว ทุกอย่างธรรมดามากๆ แต่ที่ประสบความสำเร็จได้มาถึงตรงนี้ เพราะเขาทำให้ตัวเองกลายเป็นพนักงานที่มีคุณค่าสำหรับองค์กร
[ เทคนิคของพี่โจ้ผมได้เขียนไว้ในบทความลิงก์ในคอมเมนต์นะครับ สามารถไปอ่านกันได้ ]
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘Career Capital’
พี่โจ้กลายเป็นคนที่คนอื่นแทนไม่ได้ เป็นคนที่ซีอีโอเรียกหาและองค์กรมากมายต้องการ จนสามารถมีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำ อิสระในการเลือกงานที่ทำ และงานที่ทำก็มีความหมายต่อเขาด้วย
🔥 3. ทางออก (Exit Path)
ถึงจุดนี้ เราพยายามปรับงานก็แล้ว พยายามสร้างทักษะจนเก่งก็แล้ว แต่เราก็ยังไม่ชอบงานที่ทำอยู่ดี สุดท้ายมันก็คงต้องไปแหละ
เพียงแต่ว่า...ไม่ใช่อยู่ๆ ยื่นใบลาออก แล้วบอกว่าจะออกไปเป็นนายตัวเองหรือเจ้าของธุรกิจโดยไม่มีการวางแผนอะไรเลยล่วงหน้า
มาร์ค คิวบาน (Mark Cuban) หนึ่งในนักลงทุนและนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยมากที่สุดคนหนึ่งของโลกแนะนำว่า
“เก็บเงินไว้ก่อน อย่าเพิ่งลาออกจากงานถ้าไม่รู้ว่าแม่งกำลังทำอะไรอยู่ เราต่างเคยได้ยินเรื่องราวของคนที่ลาออก เริ่มทำธุรกิจและทำเงินได้มากมาย สิ่งที่เราไม่เคยได้ยินคือเรื่องราวของคนที่ลาออก เริ่มทำธุรกิจแล้วล้มเหลวไม่เป็นท่า จนต้องกลับไปทำงานที่ตัวเองเกลียด”
นี่คือภาพลวงตาและมายาคติของความสำเร็จ
สิ่งที่เราควรทำคือทดลองหางานเสริมที่สร้างรายได้สม่ำเสมอ ระหว่างที่ยังมีงานประจำอยู่ (แต่ก็หาทางเพิ่มความสุขในการทำงานไปด้วยนะ)
จนกระทั่งวันหนึ่งมันสามารถทดแทนรายได้ประจำได้ในระดับหนึ่ง คุณอาจจะออกไปเป็นผู้ประกอบการก็ได้ (ถ้าอยากลอง) หรือคุณอาจจะได้งานที่ใหม่ที่ตอบโจทย์มากกว่าก็เป็นทางออกอีกทางเช่นเดียวกัน
สุดท้ายงานก็คืองาน และมันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต ถ้าลองปรับเปลี่ยนอะไรก็ตามที่อยู่ในการควบคุมของเราแล้วยังไม่ดีขึ้นด้วยปัจจัยอื่นๆ ก็หาทางหนีทีไล่ไว้ให้ดี ที่สำคัญที่สุดคืออย่าจากไปแบบเผาสะพานกับที่ทำงานเก่า เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่าวันหนึ่งเส้นทางการทำงานจะพาไปไหน เจอใครบ้าง และเสียงในอดีตอาจจะดังกว่าที่เราคิด
อ้างอิง : หนังสือ Drive, หนังสือ So Good They Can’t Ignore you
เทคนิคการประสบความสำเร็จแบบพี่โจ้ : https://web.facebook.com/photo/?fbid=1148067394028243&set=a.649142877254033
#aomMONEY #MakeRichGeneration #การเงินการลงทุน #พนักงานประจำ #ไม่ชอบงานแต่ลาออกไม่ได้ #ทำยังไงดี
โฆษณา