Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มินิซีรี่ย์
•
ติดตาม
9 มิ.ย. เวลา 06:42 • ประวัติศาสตร์
ตโต นาคราชา ปัช์ชลิ ในกาลนั้น อันว่าพระญาวาสุกี ให้เปนเปลวอัคคีด้วยฤทธิ แล
เถโร อยํ มัย๎หํ สริเร อัค์คิ อัต์ถีติ มั์เญติ อัม๎หากํ สริเร อัค์คิ อัต์ถิภาวํ น ชานาติ อปิจ อัม๎หากํ หทยัพ์ภัน์ตรทหนํ สัพ์พกาลเมว อสํวเฒต๎วา มัจ์ฉริยโกธโลภมทมานัป์ปปุริน์ทนาปชลิตัต์ตาสัพ์พกาลเมว เมต์ตากรุณาสีโตทเกน สัม์มาปรินิพ์พาปิตัต์ตา น ปัช์ชลติ สติปัจ์จเย ปัช์ชลาเปสึ เยวาติ
ในกาลนั้น อันว่าพระมหาเถร ธกคำนึงในมเนนทริยดั่งนี้ อันว่าทวยางคชิวเหนทรียราชา คิดว่ามีเตชาแต่ตูวเขา บมิรู้ว่าเพลองในอาตมเรานี้มี อนึ่งอันว่าอัคคีนั้นโสด บมิได้โชตนาการ ด้วยอาดมบมานให้เปลวเพลอง อันดำเกองไหม้ในหฤทยา แห่งอาตมาภาพจำเรอนได้ แลดับไว้ด้วยมารรคญาณ กมีสิ้นกาลทังปวงแท้ แม้แต่เพลอง
นั้นโสด บมิได้ไพโรจโชตนา ด้วยวาตาอันพานพัด คือมัจฉรรยชิงชัง บมิยังให้เกอดด้วยโทโษ อันโลโภแลมูวเมา แลทรมานเขาด้วยมานะ ด้วยสุภาวะอาตมภาพ ประหารบาปรำงับ ดับเพลองบาปเสียด้วยดี ด้วยวารีสฤโตทก ชราบเอย็นอกแห่งอาตมา คือกรุณาแลไมตรี กมีสิ้นกาลทังปวงแท้ แม้ในวันนี้แลมีเหตุ อาตมจยั้งเดชเดชา ให้อาภาดำเกอง ธกให้เพลองรุ่งเร้า ด้วยธเข้าเดโชกสิณ แล
อิเธกัจ์จานํ หิ สภาโว สุวัณ์ณโลหสทิโส อัค์คินา อปจิต๎วา สัพ์พถาเมน กูเฏน น ปหริต๎วา ยถา อิจ์ฉิตกัม์มั์ํ น โหติ สุวัณ์เณ น โหติ ตัส๎มา ยถา สุวัณณกาโร โลหกาโร สุวัณ์ณโลหวิกตึ กัต์ตุกาโม อกัม์มั์สุวัณ์ณโลหํ คเหต๎วา อัค์คินา ปจิต๎วา ปัช์ชลิตกาเล สัน์ธาเสน คเหต๎วา อธิกรณิยํ ถเปต๎วา โลหกูเฏน ปหรัน์โต กัม์มั์ํ กโรน์ติ เอวํ กโรน์ตา ปน โทสัน์ตเรน น กโรน์ติ กโรนติ นาปิ อัป์ปิเยน อปิจ โข ปน สุ
วัณ์ณกัม์มั์ภาวัต์ถาย ปกโรน์ติ เอวเมว โข ปัณ์ฑิตา ชนา กิ์จาปิ ภตานํ สกิยหทยัพ์ภัน์ตเร ถิตํ โกธัค์คึ ปัช์ชลาเปน์ติ อิท์ธิยา พาหิรัต์ตึ น อิส์สาปกเตน น โทสัน์ตเรน น อัป์ปิเยน ปชลัน์ติ อถโช นิพ์พิเสวเนน กัม์มั์ภาวัต์ถาย ปกโรน์ติ สีลาทีสุ จ อัญ์ญตรสัม์ปทาย โสตาปัต์ติผลาทีสุ อั์ตรสัม์ปทาย ตัส๎มา เถโร มหัน์ตอิท์ธยา พาหิรัค์คิขัน์ธํ ปัช์ชลติ
แท้จิงแล แม้อันว่าพระมหาโมคคัลลาน อันธทรมานจิตรแห่งพระญานาค ทำให้ลำบากเพื่อจให้ดี กมีอุประไมยอุประมา ด้วยสัตวในโลกาทังหลาย อันมากมายลางบาง ลางจำพวกต่างแผนก จิตรชู่วแปลกแปลกกัน อันควรทวรมานด้วยสาหศ กมีบทอุประมา ต่ช่างสุพรรณโลหาชำนาน อันทำการโลหสุพรรณา บมิได้เผาด้วยชาลาอัคนี บมิได้เพียรด้วยตีด้วยค่อน ด้วยฝีค้อนกำลังรัน อันว่าสุพรรณแลโลหา จสำเร็จปราถนาบมิได้ รูปทรงใส้กบมิเปนการ แสงอันชัชวาลยบปรากฏ อันนี้เปนบทอุประไมย มี
เหตุใดแลเหดุนั้น แต่นายสุพรรณโลหสิลบี เมื่อมีจำนงปราถนา จให้รจนายิ่งขึ้นไป ในพะลักการนานา กเอาสุพรรณโลหาทั้งมวล อันยังบมิควรแก่การนั้น วางกำนุงขันธอัคยา เมื่ออุณหอาภาด้วยพลัน นายช่างกันด้วยสัณธาส ไว้เลอภาชนหน้าทั่ง ถือค้อนกั่งษประหารกมี บางทีตีด้วยค้อนโลหกมาน กทำให้การบริบวรณ ควรแก่กิตยทังผอง แลนายช่างทองช่างเหล็กนั้น อันกทำการดั่งกล่าวนี้ บมิทำด้วยใจอันไพโรจ อนึ่งโสดบมิได้ทำด้วยบมีทยา ด้วยอาตมาอันเกลียดชัง นายช่างกยังเพียรพยายาม
จะให้สำเร็จความปราถนา จให้ควรแก่กิตยานุกิตยนั้น เพื่อจะให้รูปพรรณงามดี แลมีอุประมาเปนฉันใด ในเมื่อสับบุรุษทังหลาย ฉลาดด้วยอุบายแห่งปัญญา บมิให้โกรธานะลัคคี อันมีในจิตรแห่งอาตม ให้ร้อนแก่สัตวชาดิทังผอง ด้วยจำนองจิตรริษยา อันเปนธรรมดาปรกฤดี บให้เรืองด้วยมเนนทรียอันโรธ กบมิยังให้โชติอุณหา ด้วยบมิทยาแลเกลียดชัง กเปนสัจจังแท้ถ่อง ธกยังกองเพลองอันเปนพายนอก ให้เรืองออกด้วยฤทธิพลพหลพหะลา อนึ่งโสดอันว่าบุทคลผู้มีปฤชาญาณ กเพียรในการอันเปน
ปรโยชน เพื่อจโปรดจึ่งทวรมาน แลจให้ควรแก่การทังหลาย จให้สละพยศอันร้ายแลทรอึ่ง อนึ่งเพื่อจให้บริบูรรณด้วยธรรมในสกนธ แลจะให้เปนผลเปนภัพพะ เพื่อจให้อริยทรัพทังหลาย หมายคือเบญจศีลเปนต้น แลอริยมัค์คผลญาณา มีพระโสดาเปนอาทิ์ จให้เวนยชาติทังปวงได้ ในธรรมอันใดอันหนึ่งกดี กมีอุบประไมยอุบประมา เหมือนสุพรรณโลหการาสิลบีนั้น อันว่าพระมหาโมคคัลลาน อาไศรยเหดุการณดั่งนั้น กยังอัคคีขันธให้อุณหาส ด้วยเพลองพาเหียรอาตมอาภา ด้วยฤทธิพลาอเนก แล
อุภิน์นํ เตชัส์สุป์ปัน์นา นลชาลา จ สกลจัก์กวาฬคัพ์ภปัฏ์ฐริตา สัม์ปัช์ชลึสุ อันว่าฤทธิเดชชาลัคยา แห่งพระญานาคาทังสอง กผริตไปสู่ห้องสกลจักรวาฬทังหลาย หมายประดูจเพลองไหม้ ป่าไม้อ้อนองเนือง กพลุ่งเรืองเปนเปลวพิฦกษ แล
ตทา จตุราสีติโยชนสหัส์สโยชนัป์ปมานํ สิเนรุโนขัน์ธํ สัพ์พสัต์ตานํ ราคทหนุส์สเทนค์คินากัป์ปทหนสมยํวิย สมันตปัช์ชลิกเมว อโหสิ
ในกาลกษณนั้น อันว่าท่อนบรรพตราชา อันคณนาได้แสนหกหมื่นแปดพันโยชน กเปนเปลวโชดิสมันต เหมือนเมื่อกาลันดราย โลกยฉิบหายด้วยเพลองกัลป เหตุสรรพสัตวทังปวง เปนเหตุในทรวงหมุ้นไหม้ ไปด้วยราคัคคี กมีด้วยอเนก แล
อถ เถรัส์ส โลมกูปมัต์ตํ น อุณ๎หติ ในกาลนั้นอันว่าเพลอง อันดำเกองด้วยฤทธินาคราช มาตรว่าแต่ขุมพระโลมา แห่งพระมหาโมคคัลลาเจ้า กบมิร้อน แล
นาครัญ์โญ ปน สริรํ อุก์กามุขปัก์ขิตํ อยปิณ์ฑวิย อติสัน์ตาปมโหสิ พั้นอันว่ากายา แห่งสัลเบนทราธิราช ร้อนรนอาตมยิ่งนัก กมีลักษณอุบประมา ปานโลหบิณฑาอันบุทคล วางไว้บนปากเบ้า เผาด้วยเพลองก็มี แล
อถ นาคราชา อยเมว โก มํ สิเนรุนา สัท์ธึ ปิเลต๎วา ธมายติ เจว ปัช์ชลติ จาติ โก นุ โข ตุวัน์ติ ปุจ์ฉิ ในกาลนั้น อันว่าอหินทรนาครันยา กถามลักษณานุสนธิ อันว่าบุทคลผู้นี้ ท่านมีชื่อฉันใด บีบอาตมไว้กับสิเนรุราชา แลบังหวนธูรรมาให้เปนควัน ยังอัคคีขันธให้อาภา ดั่งอาตมาภาพถาม ท่านนี้มีนามดังฤา
อหํ โข นัน์ท สกลภวนมัณ์ฑปรมสัต์ถุโน สัม์มาสัม์พุท์ธัส์ส ทุติยัค์คสาวโก โมค์คัลลาโน นามาติ อันว่าพระมหาเถรเจ้า กประกาส แก่พาสุกรินทราธิราชพาลา ด้วยพจนาดังนี้ ดูรานาคบดีบาดาลราษฎร อันว่าอาตมเปนทุติสราวก แห่งสมเด็จดิลกโลกยสาษดาจารย ในสถานบริมณฑล สกลไตรภพโลกย อาตมชื่อมหาโมคคัลลานะ แล
กัส๎มา ภัน์เต ตุม๎เห สมณา เอวรูปํ กัม์มํ กโรถ นํ ตุม๎หากํ อยุต์ตํ ยทิทํ สัพ์พภูเตสุ ทัณ์ฑปติฏ์ฐปนัน์ติ อันว่าพระญาพิศธรินทร สัลบินทราธิราช กปรกาสปรดิพจนพากยา แก่พระมหาโมคคัลลานะเถระ ข้าแต่พระผู้อยู่เกล้า พระผู้เปนเจ้าเปนสรํมณะ แลซึ่งกรรมะอันมี สระภาพดั่งนี้แก่ข้า เพื่อการณาอันใด อันว่างดไว้ซึ่งโทษา ในสัตวคณาทังปวงใส้ อันว่ากษานติในโทษทังมวล บมิควรฤาแก่สรํมณา ย่อมยุกดาเที่ยงแท้ กมีแก่พระผู้เปนเจ้าทังหลาย แล
นาหํ โกธาป์ปิเยน โทสัน์ตเรน วา กโรมิ อัม๎หากํ มิจ์ฉามัค์คโต ปริโมเจต๎วา สุมัค์เค ปติฏ์ฐาปนายาติ อันว่าพระมหาโมคคัลลาน กเปล่งพระอุทานทวนท่าว กล่าวแก่พาสุเกรนทรราชา อันว่าอาตมาภาพนี้ บมีกทำซึ่งกัมมนั้น ด้วยฉันทาคดีแถบมีทยา แลใจหยาบช้าอันคุมนุมโรธ ทำเพื่อจโปรดเปนประธาน จเปลื้องท่านจากมรรคา อันเปนมิจฉาทิฏฐินิตย แลท่านยอมเหนผิด เปนชอบ อันกอปรด้วยกรรมลามก กจยกท่านไว้ในมรรคา อันชอบธรรมบวราอธิก แถ
เอวํ สัน์เตปิ อติธารุณํ เต กตํ อัต์ตโน ภิก์ขุภาเวน ติฏ์ฐาหีติ อันว่าพระญานนโทปนนท กกล่าวอนุสนธิพากยา แก่พระมหาเถรดั่งนี้ เมื่อท่านบมีกทำแก่ข้า ด้วยเจตนาอันโกรธนี้ ผี้แลมีแก่ท่านจริง แลท่านซึ่งกรรมแก่ข้า เหนหยาบช้ายิ่งนัก ถ้าจให้ลักษณคุณอันจำเรอญ เชอญพระผู้เปนเจ้ากลายอาตม จากนาคราชด้วยไมตรี จงเปนปรกดีภาวะ แห่งรูปพระสรํมณอยู่ เทอญ
เถโร ตํ นาคัต์ตภาวปัช์ชหิต๎วา ปกติภิก์ขุวัณ์เณน ถัต๎วา อาห ต๎วํ อุรค ติรัจ์ฉาโน หุต๎วา ชาติยา อัฏ์โ สมโณติ วา พรหมโณติ วา อาจริยุป์ปัช์ฌาโยติ วา มาตาปิตโรติ วา น ชานาสิ ปรมปุ์ัก์เขต์ตํ ตถาคตํ ตาวตึสเทวโลเก สสาวกสํเฆน สั์จาริกํ อัก์
โกสนวจเนน ผรุสวจเนน อัก์โกสสิ อิเม มุณ์ฑกสมณา อัม๎หากํ อุปริสีเส ปาทปํสุํ โอกิรัน์ตา สั์จรัน์ติ ปติสั์จรัน์ติ อิทานิ อิโต ปัฏ์าย เตสํ สั์จริตุํ น ทัส์สามีติ อั์เ เทวมนุส์สา อัต์ตโน สิรัส๎มึ ปรมปาสาทิกัส์ส ภควโต สสาวกสํฆัส์ส ปาทปํสํ ปติฏ์าปนาย สัม์มาปัฏ์ยัน์ตาปิ น ลภึสุ เยว สเจ เกจิ กิส๎มึ ลภมานา สัพ์พานตวิธา
ยกํ จิรกาลัก์ขัน์ธสัน์ตานัป์ปัต์ถิตํ สัพ์พาสวนิรวเสสเมว โสเธน์ติ ตวํ อุรค ติรัจ์ฉาโน สมาโน เอวํ มิจ์ฉาทิฏ์ิโก ตถาคตู สัม์มาสัม์พุท์ธํ ปรมัป์ปาสาทนิยํ สสาวกสํฆั์จ ปุ์ัก์เขต์ตํ อัก์โกสสิ สีลวันตานั์จ อัก์โกสนัน์นาม อายตึ อัต์ตนา ปติลภิตัพ์พํ ฉกามาวจรสัต์ติส์สิริยเมว อัก์โกสัต์โต วิย โหติ ปัจ์ฉโต สิรึ อนุพันธิต๎วา อัก์โกสิต๎วา ปหริต๎วา ปลายัน์โต วิย ทิฏ์เ ธัม์เมว ตาทิสํ ทุก์ขํ อนุกวสิติ ตัส์ส ทัก์ขิณกัณ์ณโสเตน ปวีสิต๎วา พามกัณ์ณโสเตน นิก์ขมิ
อันว่าพระโมคคัลลานเถร ธกละพระกาเยนทรอันเปนนาคา กอยู่ด้วยพระกายาในสรํมณะ ด้วยสภาวะเปนปรกติ กกล่าวแก่นาคปติพาลา ดูกรอิศวราแห่งบาดาล ท่านเปนเดียรฉานชาตา แลปัญญาจักษุพิการ แต่สถานชาดิกำเนอดมา กบมีรู้ว่าพระสรํมณกดี กบมิรู้ว่าพราหมณะกมาน กบมิรู้ว่าอุปัชฌาจารยกดี แลบมีรู้ว่าผู้นี้เปนบิดา
แลมาดา แลท่านกด่าสมเด็จพระพุทธโลกยเชษฐ อันเปนบุญญเกษตรบวรงค อันพระองค์จาริตไปในดาวดึงษโลกา ท่านกด่าทังนิกรสังฆ ด้วยคำอหังการหยาบช้า ว่าหมู่มุณฑกาสรํมณนี้ อันโกนสีสะทังหลาย ย่อมเรี่ยรายรชะทุลี อันมีในฝ่าเท้าแห่งอาตม ไปบนปราสาทท่านอาเกียรณ แลไปบนเสียรท่านทุกครา เมื่อสรํมณไปมาทุก
ครั้ง ท่านกว่าตั้งแต่กาลวันนี้ไป บมิให้หมู่สรํมณะนี้มา ในเทวโลกาทังหลาย ตามอเนกบรรยายท่านกล่าวนั้น อันว่าหมู่อมรากร นรชาดิทังหลายหมายหมู่อื่น กชมชื่นหืนหรรษา มีปราถนาจใคร่ได้ ในพุทธบทไรณูอันอุดดํม แห่งสมเด็จพระบรํมศาษดา ผู้นำมาซึ่งความปรีดิ อันมีลักษณอุดฺดหมางค จวางไว้กลางสิโรรับ กับด้วยบทรชทุลี อันมีในฝ่าเท้านิกรสงฆฺ แลสัตวอันจงแลบมิได้ ในพุทธไรณุพระบาทา เหตุบุญญายังน้อยนัก กมีลักษณดั่งกล่าวมานี้ ผิ้ว่าอมรนรคณา อันมีในโลกาบางหมู่ ได้บทเรณู
พระพุทธองค แลทุลีบาทนิกรสงฆอรหนต กตั้งไว้บนสิโรเพส รับไว้ด้วยเกษเกษา แห่งสัตวคณาทังหลาย กมลางจิตรแลกายนฤรรพเศศ จากอาสรพกิเลศแลบาบี อันมีในสัตวทังหลาย แลสถิตพายในขันธสันดาน สิ้นกาลนานยิ่งนักหนา แลอาสรพนานาย่อมตกแต่ง แห่งสัตวโลกยโลกีย บมีเปนประโยชนแก่อาตมา ดูราพระญานนโทปนนท ท่านเปนคนอนธพาล เปนเดียรฉานชาตา เปนมฤจฉาทฤษฎี กด่าพระผู้มีพุทธภาคยบวรา อันตรัสพระธรรมาบวรงค ทังปวงด้วยพระองค์นั้น อันบุทคลในโลกา พึ่ง
สรัทธายินดีนัก เปนบุญญักเกษตรา ท่านกด่าลบลู่ หลู่ทังหมู่พระสาวก ชื่อว่าคำอันลามกท่านว่า บุทคลอันมีศีลาจารยวัตร ประดูจบุทคลแช่ง สมบัดดิในเทวา ฉ้อกามาพจรสวรรค อันจได้แก่อาตมา ในเบื้องหน้าให้นิศผล แลประดูจบุทคลอันด่าตี ซึ่งอิสีรยสมบัดดิ แห่งกรษัตริยราชา อันติดตามมาในเบื้องหลัง แลท่านยังสมบัดดิทังปวงนี้ ให้หนีจากอาตมท่านไป ท่านกจได้ซึ่งทุกขเพทนา เหมือนวาจาท่านว่าอันหยาบนัก ในอาตมท่านปรตยักษพลันพลัน ในปัจจุบันนะนี้ แล
แม้อันว่าพระมหาโมคคัลลา ธกล่าววาจาแก่พระญานาค ด้วยพจนพากยดั่งนี้เสร็จ ธจึ่งเสด็จเข้าไป ในช่องกรรณเบื้องขวา แห่งผรรณิตศวราธิราชนั้น ธกออกไปโดยช่องกรรณเบื้องซ้าย แล
วามกัณ์ณโสเตน ปวีสิต๎วา ทัก์ขิณโสเตน นิก์ขมิ อันว่าพระมหาเถรา ธกเสด็จจูลเทาโดยรลุงกรรณาฝ่ายพาม กเสด็จเจญตามทักษิณกรรณ แห่งสรรปะรันยาธิราช แล
ทัก์ขิณนาสโสเตน ปวีสิต๎วา วามนาสโสเตน นิก์ขมิ อันว่าพระมหาโมคคัลลา เข้าไปโดยช่องนาสาฝ่ายทักษิณ แห่งผรรณิบดินทรราชา กออกมาโดยช่องนาสิกฝ่ายเฉวียง แล
วามนาสาโสเตน ปวีสิต๎วา ทักขิณนาสโสเตน นิก์ขมิ อันว่าพระมหาเถรา จูลเทาโดยรลุงนาสาฝ่ายอุดดร แห่งนาคบดีสรนาคา กเจญโดยรลุงนาสาฝ่ายสดำ แล
นาคราชา อธิมัต์ตํ เวทนํ เวเทน์โต ยทา มุณ์ฑกสมณัส์ส มัย๎หํ มุเขน ปวีสิต๎วา ติก์ขตรํ มม วิสทาฒาหิ ุมขปัต์ตกาเล ตํ มุรุมุราเปต๎วา ภัส๎มึ กโรมีติ จิน์เตต๎วา ตเมตทโวจ ภัน์เต สมณานาม ธัม์มปุเรก์ขา เยว สัพ์พกาลํ ต๎วํ ปน สมโณ หุต๎วา น ตถาภาวาหิ มัย๎หํ ตาทิสํ ทารุณกัม์มํ กโรน์โต เปเมน กโรมิ บีเยน กโรมี น โทสัน์ตเรน กโรมีติ วทสิ เยว ตมีทิสํ วจนมัต์ตํเมว ปติชานาสีติ วัต๎วา อัต์ตโน มุขํ วิวริต๎วา ถิโต
อันว่าพระญานนโทปนนทนาค เมื่อลำบากมีมาตราอันยึ่ง กรำพึงด้วยจิตรวารอันลามก ว่าอาตมจเคี้ยวมุณฑกสรํมณกายา ให้กร้วมกร้วมด้วยทาฒาทังสี่ อันมีพิศคมปละแปล่มแหลมนักหนา เมื่อมุณฑกสรํมณะมาถึงเขี้ยว อาตมจะเคี้ยวให้เปนภัศม พระญานาคกตริอรรถจทวนท่าว กกล่าวพจนแก่พระมหาเถร อันว่าสรํมณะชิเนนทรบุตรา
ย่อมมีธรรมบุเรกษาเปนประธาน กมีสิ้นกาลทังปวงแท้ แม้อันว่าท่านจเปนสรํมณ ดูจนิยํมนั้นกบมาน เหตุท่านทำกรรมแก่ข้า เหนหยาบช้าพ้นประมาณนัก แลลักษณอันท่านกล่าวแก่ข้า ว่าทำด้วยกรุณาแลเมตตรี แลบมีกทำด้วยใจอันไพโรธ แลท่านโสดได้ปรฏิญญาณ พจนแห่งท่านกบังควร เหนบริบวรณดั่งนี้ มาตรเปนแต่วจีสูญเปล่า แล
อันว่าทวิชิวเหนทรายามะพแพร่ง กสำแดงพจนพาลา วาจาอันยอะเย้อย แล้วกเผอยปากอาตมอยู่ แล
เถโร ตัส์ส วจนํ สุต๎วา ปกติยา สุตวัจ์ฉลัช์ชนนี วิย สลาลสํโอรสปัต์ตัส์ส วจนํ สุต๎วา โทสวเสน อมนสิกริต๎วา ตเมตทโวจ ปุพ์เพ ปนาวุโส สมโณติวา พราห๎มโณ วาติ อาจาริยุป์ปัชฌาโยติ วา มาตาปิตโรติ วา น ชานาสิ อิทานิ มยา เอวรูเปหิ วินเยหิ วินยัน์โต สมณานาม ธัม์มปุเรก์ขา ชานาสิ เยว ตัส๎มา บัณ์ฑิตานํ วินยัส์ส มหัน์ตคุณํ กถํ ตุม๎เหหิ ชานิตัพ์พํ เอวั์จ อัต์เถ สติ นนุ มัย๎หํ วิเสสาธิคเตน ตาทิสํ กัม์มํ กโรตีติ สลัก์เขตัพ์พํ โลกัส๎มึ หิ กทาจิ มาตาปิตโร ปุต์ตานํ เอวรูปํ ปิลนํ กโรน์ติ อาจาริยุป์ปัช์ฌา
ยาหิ อัน์เต วาสิกสัท์ธึ วิหาริกานํ กทาจิ เอวํ กโรน์ติ อปิจ โข ปน เตสํ วิเสสาธิคมาย กโรน์ติ น อัป์ปิเยน น โทสัน์ตเรนาติ ยถา สกสัพ์พกามททานํ นิธีนํ ปวัต์ตมานัส์ส ปิเลต๎วา ปหริต๎วาปิ อเนกัป์ปการํ ผรุส์สวจนํ วทมานัสส์าปิ สยํ อายตึ ผลุป์ปัต์ติยา
โกโธ นกาตัพ์โพ เอวเมว มิจ์ฉามัต์ตปฏิปัน์นัส์ส ทุฎ์ฐกัม์มสมังคิโน ทุน์นตกัม์มวิสัช์ชนัต์ถาย สัม์มาปติปัน์เนหิ วิรปุริเสหิ อเนกัป์ปการํ ปิลนํ ชนยัน์ตัสัส อัต์ตโน ธัม์มัจ์เฉทนสมัต์ถํ ผรุส์สวจนํ วทัน์ตัส์สาปิ สยํ โกโธ น กาตัพ์โพ เยวาติ วัต๎วา ตัส์ส วิวัฏ์เน มุเขน ปวีสิต๎วา อัน์โต กุจ์ฉิยํ ปาจิเนน ปัจ์ฉิเมน จังกมติ
อันว่าพระมหาโมคคัลลา ได้สดับวาจาอันลามก แห่งพระญามโหรคอันเปนพาล กบมิได้มนัสสิการวจีปรีภาศน ด้วยสามารถแก่ความโรธ ธกบมิได้โกรธกปรกดี เฉกเมมีกูนอันยังน้อย แลฟังถ้อยคำบุตรทังปวง อันเกอดแต่ทรวงควรกรุณา พระมหาเถรธกทวนท่าว กล่าวแก่นาคราชา ดูกรอาวุโส ท่านเปนคนโมหพาลา เปนคนมฤจฉาทฤษฎีนี้ กบมีรู้ว่าพระสรํมณกดี กบมิรู้ว่าพราหมณกมาน กบมีรู้อุปัชฌาย์จารยกดี แลบมีรู้ว่า
ผู้นี้เปนชนกา แลเปนชนนีอาตมากดี กมีแก่ท่านแต่ก่อนมา ดูราวิศธเรนทรสรรเบนทราธิราช อันว่าอาตมทวรมาน ท่านในกาลบัดนี้ แลมีอุบายอันโอฬาร ทวรมานด้วยการุญญภาพ แม้ว่าหยาบแต่บังควรการ ท่านกจงรู้ซึ่งเหตุ อันมีเลศนิยม ซึ่งนิกรสรํมณทังหลาย หมายว่าธรรมบุเรกษา มีธรรมธราเปนประธาน เหตุนั้นท่านกพึงรู้ ซึ่งคุณูประการมหิมา แห่งแธรรยาอันทรมาน มีด้วยประการฉันใด ในเมื่อเหตุควรมะนสิการ ท่านกพึงเกียรดะนา แลสดับพากยาแลธำรง อันว่าสงฆรูปนี้ ผิ้กทำซึ่งกรรม
ทรมาน ด้วยเหนปารดังนี้ อันมีแก่อาตมภาพด้วยจให้ลาภอันพิเศศแก่ท่าน แท้แลในกาลบางครั้งบางครา บิดุมาดากทำกรรมอันมาก แลลำบากอันมีสุภาพดั่งนี้ แก่บุตรบุตรีทังหลาย อันมากมายในโลกยกมาน อนึ่งอันว่าอาจารยอุปัชฌาย์ กทำซึ่งกรรมนานาอันมาก ความอันลำบากกมีแท้ แก่อันเตวาสิก แลสัทธิงวิหาริกกมาน อนึงในกาลบางครา อันว่าอุปัชฌาย์จารย บมีทำการอันลำบากด้วยเกลียดชัง บมิยังทัณฑกรรมด้วยโกรธา แลกทำกรรมนานาให้ลำบากแท้ แก่อันเตวาสิก แลสัทธฤง
พิหาริกนั้นไส้ เพื่อจะให้ซึ่งธรรมอันพิเศศ เหมือนบุทคลในประเทศทังผอง บอกซึ่งขุมทองให้แก่กัน อันจได้สำฤทธิปราถนา แล้วกกล่าววาจาอัษโกส แลลงโทษด้วยทัณฑปาณี อันมีประการนานา อันว่าความโกรธาทังผอง บมิควรกทำ แก่บุทคลผู้บอกขุมทองนั้น เหตุบอกขุมสุพรรณให้แก่ตน อันจเปนผลในพายหน้า แลมีอุประมาเปนฉันใด เมื่อแลบุทคลอันไปสู่มรรคาบมิชอบ แลกอปรด้วยกรรมอันร้าย แต่บุรุษทังหลายอันเปนเมธา อันมีปฤชาวิสารัท อันประพฤดดิประฏิบัดดิในแก่นสาร ยังความทรมาน
ให้ลำบาก มีลักษณอันมากดั่งนั้นแท้ แม้แลกล่าวซึ่งผรุษวาท อันอาจจตัดได้ซึ่งธรรมดา คือมฤจฉาทฤษฐิแห่งอาตมกดี อาตมบมิพึงกทำความโกรธตอบ แก่บุทธคนอันให้ความชอบแก่อาตมา แลให้ลำบากกายากดี กมีอุประไมยดั่งกล่าวมา เฉกบิดุมาดาอุปัชฌาย์จารยนั้น อันว่าพระมหาเถรา ธบดิพากยาทังปวงเสร็จ กเสด็จจูลเทาโดยปาก แห่งพระญานาคอันเผอยไว้ ธกจงกรํมในครรภา แห่งภุชเคนทราธิบดิน โดยทิศปราจินะทิศประจิมะ แล
ยถานาม กุสโล ทัก์โข ปุริโส อายตนมหัน์เตสึ ฆเรสุ สัต์ตวิธรตนํ ปุเรน์โต อัน์โต ปวีสิต๎วา สมัน์ตโต อุจ์ฉัต์เถ วิโสเธติ ปริปุเรติ เอวเมว เถโร นาคราชัส์สอัน์โต ทหเย สัท์ธาทิกํ สัต์ตวิธํ อริยธนํ ปุเรน์โต มิจ์ฉาทิฏ์ิโลภโกธาทิกํ วิโสเธน์โต ตัส์ส อัน์โต กุจ์ฉิยํ อปราปรํ จังกมติ
อันว่าบุรุษอันมีปัญญา เปนเมธารู้รอบ อันประกอบด้วยจักษุคือปรีชญา อันจให้รัตนาปรำพิร ส่วนวรมณินทรเจ็ดประการ ไพบูลยในสถานคฤหา อันทฤรรฆาแลใหญ่ กเข้าไปในคารสถาน กชำระเดนชานรอบคอบแล้ว กให้แก้วเจ็ดประการเพญภูล ไพบูลยในที่ทังหลาย หมายทุกห้องเคหา แลมีอุประมาเปนฉันใด ในเมื่อกาลวันนั้น
อันว่าพระมหาโมคคัลลา ผู้มีพระชนมายุศมะ ธกชำระซึ่งอกุศล เปนต้นว่ามฤจฉาทฤษฎี แลมีโลภโทษนานา แห่งนาเคดศวราภุชังค ธกยังอริยทรัพยเจ็ดประการ มานสรัทธลักขะณาเปนต้น ให้ไพบูลยในกมลหฤทยงค แห่งภุชงคนาคราชา เมื่อธจงกรํมไปมาในนาภี กมีอุประไมยดูจนั้น แล
อถ ตถาคตวรรชนิกโร สาวกตารา คณปริวุต์โต อากาสตเล ถัต๎วา อติสัม์ภาธนัต์ถานัส์ส ปัต์ตภาวํ ญัต๎วา โอภาสํ ทเสน์โต มนสิกโรหิ มุค์คัล์ลานมหิท์ธิโก โส นาคราชาติ อาห
ในกาลนั้น อันว่าพระจันทร คือสมเด็จพระสรรพัญญู อันประเสอรรดิกว่าหมู่ดารกา คือหมู่พระสาวกห้อมล้อมเสร็จ แลเสด็จสถิตในโพยมบดล เวหาสนดรประเทศ กชราบในเหตุทุกประการ ซึ่งพระมหาโมคคันลานแลดล ที่อันอนธการจังเอียดนั้น พระองค์กเปล่งฉ้อพรรณรังสี ยังพระรัดศมีให้ปรากฎ แก่พระพามะสุคตพาหา กตรัสด้วยพระพุทธฎีกาบวร ว่าดูกรมหาโมคคัลลาน ท่านจงมีจิตรคำนึง ซึ่งพระธรรมไว้ในหฤทยา อันว่าบรรนเคนทราธิบดี เขามีฤทธีมหิมา แล
เถโร มัย๎หํ ภัน์เต จัต์ตาโร อิท์ธิป์ปาทา ภาวิตา พหุลีกตา ยานิกตา วัต์ถุกตา อนุต์ถิตา สุสมารัท์ธา ติต์ถตุ เอโก นัน์โทปนัน์โท นัน์โทปนัน์ทสทิสานํ สตํปิ สหัส์สํ สตสหัส์สํปิ ทเมตุํ สัก์กุเณย์ยํ มา ภควา สังกมามีติ อาห
อันว่าพระมหาโมคคัลลานะเถร อันเปนพระชิเนนทรกูล กกราบทูลแก่สมเด็จ พระสรรเพชญ์บิดุราช อันว่าพระอิทธิบาททังสี่ ข้าพระพุทธองค์นี้กทำให้เปนที่ตั้ง แลยังให้เปนที่ดำเนอร ได้กทำให้จำเรอนนิรันดร แลเปนอดิสรณด้วยดีกมีแท้ แม้อันว่านนโทปนันท อันมหิมาฤทธี ผู้เดียวนี้ยกไว้เล่า แต่ข้าพระพุทธเจ้าผู้หนึ่ง อาจจิงซึ่งจักทรมาน ซึ่งภุชคินทรในบาดาลทังหลาย หมายเหมือนนนโทปนันท ได้แลร้อยพันทัน ถึงแสนหนึ่งกดี สมเด็จพระผู้มีพระภาคยอุดดมา อย่าได้มีพุทธหฤทยาอาไลย กังวลในข้าพระพุทธองค์นี้ เลย
โส ปน นาคราชา ปฺวิส์สัน์โต ตฺาวนเมฏ์โ ตัส์ส นิก์ขมนกาเล ติก์ขตราหิ จตูหิ ทาฒาหิ ตํ ชฺาทิส์สามีติ จิน์เตต๎วา สเจ ภัน์เต น อัปปิเยน น โทสัน์ตเรน เอวมกรัสสัต์ถมา มัย๎หํ เอวรูปํ อัน์โต กุจ์ฉิยํ อประปรํ จังกมัน์โต พากยิต์ถ พหิ นิก์ขมถาติ
อันว่าพระญานาคูรคินทราธิบดินทร ปริวิตกถวิลไปมา ว่าพระสรํมณนี้เมื่อเข้าไป สู่ในมุขทวารา อาตมาบยลก่อนเลยทีเดียว อาตมาจเคี้ยวซึ่งสรํมณ ด้วยเขี้ยวอาตมทังสี่นี้ อันมีพิศคมปะแปล่มแหลมนักหนา เมื่อสรํมณะออกมาจได้เหนกัน พระญานาคนั้นกทวนท่าว กล่าวแก่มหาเถรว่า ข้าแต่พระผู้อยู่เกล้า พระผู้เปนเจ้าบมิได้ทำ ซึ่งกัมมะดั่งนี้แก่ข้า ด้วยใจโกรธาแลเกลียดชัง ถ้ามีดั่งนั้นหมั้นคง เมื่อท่านจงกรํมไปมา พายในท้องข้ากอย่าได้ เบียดเบียนสิ่งใดอันหยาบ อันมีสวภาพบังควรนี้ ผิ้พระผู้เปนเจ้ากรุณา จงออกมาพายนอก เทอญ
ตัส์ส วจเน อวสิฏ์เฐ เยว เถโร ตํ ขณเมว นิก์ขฺมิต๎วา พหิอัฏ์ฐาสิ ในเมื่อพจนพากยา แห่งภุชเคศวรายังสลนั้น คือยังบมิทันสิ้นคำแท้ แม้อันว่าพลันแห่งพระมหาโมคคัลลา ธกออกมาอยู่พายนอกได้ ในขณนั้นแท้ แล
นาคราชา ตํ ทิส๎วา อยเมโสติ จิน์เตต๎วา นาวา ตํ วิสัช์เชสิ อันว่าพระญาอุรเคนทร ยลพระมหาเถรกคำนึง รำพึงว่าสรํมณนี้ ดีร้ายสรํมณนั้น อันว่าพระญาภุชคินทรมหิมา กสละลมนาสาออก แล
ตํ ขณเมว เถโร สมาปัต์ตึ สมาปัช์ชิ อันว่าพระมหาโมคคัลลาน ธกเข้าธยานสมาบัดดิ ในขัษณนั้นแท้ แล
เตน โลมกูปมัต์ตํปิ จาเกตุํ น สัก์ กติ อันว่าพระญาสรรบาธิราช กบมีอาจยังกุรรปเมศในพระกายา พระมหาเถรให้จลาวิจลได้ ด้วยลมพายในนาสิกนั้น แล
อวเสสภิก์ขู กิร อาทิโต ปัฏ์าย สัพ์พานิ ปาฏิหิริยานิ กาตุํ สัก์กเณย์ อิทํ ปน ถานํ ปัต๎วา เอวํ ขิป์ปํ นัส์สัน์ติ โน หุต๎วา สมาปัช์ชิตุํ น สิก์ขิส์สัน์ติ
ดั่งจได้ยินมา อันว่าพระมหาเถรานุเถรทังปวงอันเศศ กอาจซึ่งทำฤทธิเดชปราฏิหารยทังหลาย หมายอันควรทวรมานพระญานาค จำเดอมแต่ภาคประถมมา อันว่าพระมหาเถรคณาทังหลายนั้น ครั้นมาถึงในที่นี้ เมื่อทวิชิวหินทรียราชา จสละลมนาสาให้พินาศ กบมิอาจเพื่อจเข้า ซึ่งสะมาบัดดิเชาวะให้ทันได้ กจถึงซึ่งประไลยพิบัดดิ กฺมีด้วยอรรถด่งงนี้ แล
เตน ภควา เตสํ นาคราชทมนํ นานุชานาสิ เหตุการณด่งงนั้น อันว่าสมเด็จพระสรรเพชญ์บรํมนารรถ จึ่งบมิได้อฺนุญญาตให้ทรมาน ซึ่งกรุงบาดาลอิศรา แก่พระมหาเถรทังหลาย หมายด้วยประการด่งงนี้ แล
โส อิมัส์ส สมณัส์ส นาสวาเตน โลมกูปมัต์ตํปิ จาเลตุํ นาสัก์จึ มหิท์ธิโก โข สมโณ ทุส์สหํนิยเตโช ยาว มํ น มาเรต๎วาว ปลายามีติ ปลายิตุํ อารัพ์ภิ
อันว่าพระญานาโครคินทรกคำนึง รำพึงไปไปมามา อันว่านาศวาตาอาตมภาพนี้ อันเปนอรรคฤทธีมีอำนาท กบมิอาจให้กูรรปเมศในกายา แห่งสรํมณจลาพิจลได้ ธมีฤทธิไกรมหึมา ยิ่งเดชาอันบุทคล จักอดทนเปนอันยากแท้ แม้สรํมณยังบมิพิฆาฏ ซึ่งอาตมภาพเสียตราบใด อาตมจหนีไปบอยู่ช้า พระญานาคปรารพภเลศจนฤมิตร คิดแต่ที่จะหนีไปนั้น แล
เถโร ตัส์ส กติกํ วิโสเธน์โต ปากติกัต์ตภาวํ ปชหิต๎วา เอกัป์ปหารุ ปาตนโกฏิสหัส์สัส์สุนี สัท์ทสํ ภึสนปัก์ขมารุต์ตวิปัก์โข ปาตนสมัต์ถํ วิลสิตํ สัต์ตวิธรตนปัตตรั์ชิโต ภยปัก์ขํ ทุราส์สทเตชํ ติก์ขตรนขขัค์ควชิรสมัน์นาคตํ สิเนรุปัพ์พตราชจตุคุณาธิกัพ์เพธปุถุลปรมา น มานิตํ ปัก์ขิ ราชตภาวํ นิม์มิต๎วา นาคราชานํ อนุพัน์ธิ
อันว่าพระมหาเถรา ผู้มีพระชนมายุศมะ เมื่อจชำระซึ่งเกียดงอนแห่งภุเชนทราธิราช ธกละซึ่งอาตมภาพอันเปนสงฆ พระองค์กนฤมิตรพระกายา เปนรูปสุบรรณาธิราช อันมีอาตมอุรุงคมหิมา กว่าพระสุเมรุราชาได้สี่เท่า มีเท้ากอปรด้วยคมตาว รัดศมีขาวพรายแพร้ว แล้วด้วยแก้วเพชรพันลือ คือตรจอกอันคมนักหนา แลมีเดชาอันอนัคค อันนิกร
บรปักษทังหลาย จเข้าไปใกล้กลายเปนอันยากนัก แลมีปัษษทวยางครุจิรา อันรัญชิดานุเมศอุดดมะ แล้วด้วยรตนสับดพิธา อันอาจจคัณหาหรบรปักษ มีลมปีกอันพิฦกษนักกอุประมา ดูจอัศวะนีผ่าลงพร้อมกัน คราเดียวนั้นได้แสนโกฏิด้วยริทธิ์ กจติดตามพระญานาคไป แล
โสปิ นาคราชา อเนกัป์ปการถุลสุขุมัต์ตภาวํ นิม์มิต์วาปลายิ แม้อันว่าพระญา วาสุกินทราเสียรพิศ กเนียรมิตรกายา อันมหิมาแถสุกษุมะกดี กมีอเนกเดียรดาษ กปะลาศหนีไป แล
เถโร ตัส์ส ปราชิตัป์ปัต์ตภาวํ ญัต๎วา ตัส์ส สํเวชณัต์ถาย อนุพัน์ธิ อันว่าพระมหาเถรา อันเปนสุบรรณานุเพศ กชราบเหดุอันนาคราชา อันบราไชยด้วยริทธิ์ ธกบินติดตามไป เพื่อจให้พระญานาคนั้นตรนก แด
อถ นาคราชา กิ์จิ เลนํ ปติสรณั์จ อลภิต๎วา จีรกาลํ สกิยหทยัพ์ภัน์ตเร ถิตํ มิจ์ฉาทิฏ์ิหลาหลวิํส วัม์มิต๎วา มานวกเวสํ ธาเรต๎วา ภัน์เต ตุม๎หากํ สรณํ คัจ์ฉามีติ เถรัส์ส ปาเท วัน์ทิต๎วา อาห มยา ภัน์เต อัน์ธพาลตาย สํสารทุก๎ขนิส์สาวรสโมกิณ์ณาย สํสารรัต์ติยา มิจ์ฉาทิฏฐิมหัน์ธการปริโยนัท์ธโลจนยุค์คเลน ตุม๎หากํ คุณมหัจ์จํ อทิส๎วา เอวรูโป มหาปราโธ กโต ยถา ชัจ์จัน์โธ ปุริโส อัต์ตโน อัน์ธภาเวน อ
นัจ์จันตวัน์ทนิยํ จัก์กวัต์ตินริน์ทํ อปัส์สมาโน น วัน์ทติ ตัส์ส โทโส น คเหตัพ์โพ เอวเมว โข มัย๎หํ ตุม๎หากํ เตโชพลํ อชานัน์ตัส์ส เอวรูโป กโตปราโธ มมาปราธมมนสิ กริต๎วา มัย๎หํ ปุต์ตภาเวน สรณํ ภวาหิ อั์ถา เม สรณํ นัต์ถิ ปิยปุพ์พโก ภัน์เต โทโส จีรกาลเมว ปวัต์ติต๎วา มหานัต์ถาวโห โหติ อั์มั์ัส์ส สุฏ์ชานิตัต์ตา โทสปุพ์พโก ปินปิโย ตัสัส คุย๎หํ อชานิตัต์ตา จีรกาลเมว ปวัต์ติต๎วา ทิฏ์ธัม์มิกสัม์ปรายิกสุขาวโห โหตีติ
อันว่าพระญาภุชินทรราชาเมื่อบะลาศ กบมิอาจที่จเร้นจซ่อนได้น่อยหนึ่ง กบมีที่พึ่งทังหลาย กคายพิศอันร้ายแห่งอาตมา คือมฤจฉาทฤษฎี อันสถิตสถีรอยู่พายใน กมลหฤไทยแห่งอาตมา อันได้ช้านานหมั้นคง กธรงเพศเปนมานพ นมัสสการคำรพยจบบาทา แห่งพระมหาโมคคัลลาใส่สีสะ กกล่าวพจนะอันมฤทู ว่าข้าแต่พระผู้อยู่เกล้า ข้าพระองค์เจ้ากรู้ ว่าพระผู้เปนเจ้าเปนที่พึ่ง กจโปรดซึ่งเสียรแห่งข้า อันว่าโทษาอันหยาบ อันมีสภาพแห่งข้านี้ อันข้าผู้มีจักษุพิกล อันมืดมนมากนักหนา คือมฤจฉา
ทฤษฐิสำรวม สรวมไว้ในราษตรี อันนี้คือสงสารฺา แลอวิชชาอันกำบังสัตว แลอาเกียรณไปด้วยรัษตรี คือทุกขินทรียทังหลาย อันเวียนตายเวียนเกอด เที่ยวเอากำเนอดในภาพไตรย ข้าพระองค์ ได้ทำผิดแท้ แก่พระผู้เปนเจ้าโดยหยาบ เหตุสุภาพข้าเปนอันธพาล อันว่าบุรุษอันพิการจักษุนทรีย มีแต่เดอมอาตมอุดบัดดิ แถบยลบรํมจักรพรรดิราช อันควรอภิวาทด้วยสิโรเพศ เหตุพิกลเนตรแห่งอาตมา กบมิได้ยอหัษดากราบบังคม ซึ่งสมเด็จบรํมจักรพรรดิราชา อันว่าบุรุษอันพิกลเนตรานั้นกนฤโทษ
ด้วยบรมจักรพรรดิโปรดบมิถือเอา ประดูจข้าพระเจ้าพรรณนา แลมีอุประมาเปนฉันใด ในเมื่อโทษแห่งข้านี้ อันบมีแจ้งแห่งพระฤทธิเดชพะลัง แต่ยังความกาจทังมวล อันบมิควรแก่พระผู้อยู่เกล้า พระผู้เปนเจ้าจงอดโทษ เพื่อพระองค์โปรดเสียรข้า อย่าได้ให้โทษาดำกล ในพระกมลหฤไทย ซึ่งเปนที่สรณาไศรยแก่ข้า จงกรุณาว่าเปนบุตรด้วยดี กมีอุประไมยนิยม ประดูจสมเด็จบรมจักรราชา บมีเอาโทษาแห่งบุรุษนั้น อันว่าข้าพระองค์นี้ หาที่พึ่งที่พำนัก ด้วยลักษณอันอื่นบมิได้แท้ ข้าแต่พระผู้อยู่เกล้า
โทษแห่งข้าพเจ้าอันเหนผิด อันชื่อว่ามิจฉามัคค อันเปนที่รักษแห่งข้า แลประพฤดดิมาแต่บูรรพกาล ด้วยกาลนานแลโทษนั้น กนำมาซึ่งสรรพอันตราย ในความฉิบหายเปนอันมากนัก เหตุมานะยศศักดิอันไกร ย่อมถือว่าใครกใครดี แลโทษอันนี้กประพฤดดิมา จึ่งบมีรู้ซึ่งพระเดชาธิคุณ อันอดุลยแห่งพระผู้อยู่เกล้า พระผู้เปนเจ้าจึ่งทวรมาน ข้ากจได้ถึงสถานอันร่มเยศ กชื่อว่าเปนเหตุก่อนจึ่งเปนผล จให้คุณอนนตเลอศไกร จศุขในอิธโลกยแลบรโลกย พรอะสมเด็จพระมหาโมคคัลลาน โปรดข้าพระองค์ในกาลบัดนี้ แล
อถ เถโร นาคราชัส์ส วจนํ สุต๎วา โอรสปุต์ตวิย มั์มาโน สัต์ถา นัน์ท อิธาคโต เตน ตํ ทมาปยมาโน สเจ ตุม๎หากํ โทสํ ขมาเปติ เอหิ ภควันตํ โลกากรณขมาเปสีติ
ในกาลบัดนั้น อันว่าพระมหาโมคคัลลานะเถร อันเปนพระชิเนนทรโอรส ได้สดับพจนแห่งบรรนะคาธิราช กมีพระหฤไทยสาธุ์สำคัน ว่าพระญานาคนั้นประดูจโอรส อันปรากฏแต่พระอุระ กมีพระพจนควรทยาลู ว่าดูกรพระญานนโทปนันท อันว่าสมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ กเสด็จมาอยู่ที่นี้ สมเด็จบรมตรีภวนะมณฑล สกลโลกยนาถา อนุญญาตให้อาตมาทวรมานท่าน อันจให้อาตมกษานติโทษา ท่านจงมาให้สมเด็จ พระสรรเพชญ์พุทธทิวากร อันเถพอโลกวิวรให้อาภา ขษานติโทษาแห่งท่าน เทอญ
อถ เถโร นํ ภควโต สัน์ติเก เนสิ ในกาลนั้น อันว่าพระมหาโมคคัลลา กนำพระญานาคเข้าไป ในสำนักพุทธบาทา สมเด็จภวนารรถาบพิตร แล
อถ นาคราชา สกลทิพ์พมานวคณสีลิมุขนิกรสตตเสวิตํ จัก์กลัก์ขณลัก์ขิตํ สุวิโสธิตสัพ์พกายิกวิมลจามิกรวท์นัม์ปการวิสุท์โธต์ตมนขวิราชิตํ ภควโต ปาทปังกชยมกํ วัน์ธิต๎วา อัจ์จโย มํ ภัน์เต อัจ์จคมา ยถา พาลํ ยถา มุฬ๎หํ ยถา อกุสลํ โยหํ ภัน์เต สํสารรัต์ติยา นิท์ธายมาโน สกายหทยัพ์ภัน์ตเร ถิตาย มิจ์ฉาทิฏ์ิฆฏิตัน์ธการาย ปริโยนั
ท์ธวทโนชนชรามรณหิตํ นาถํ ภควัน์ตมนัน์ตคุณํ น ชานามิ ภัน์เต ปเทตรหิตํ อัค์คปุค์คปุลมุต์ตมํ ปุ์ัก์เขต์ตํ ยัต์ถํ อัป์ปมัต์ตกํ ทิน์นํ มหัป์ผลตรํ โหติ อิโต ปัฏ์าย ภัน์เต อัต์ตานํ ปริจัช์ชิต๎วา ปิ ตีณิ สรณานิ ปริจัช์ชิตุํ น สัก์โกมีติ กัต์ตัพ์พวสาเณ ตีณี สรณานิ อัค์คเหสิ
ในกาลนั้น อันว่าทฤรรสรรุราชา อันเปนอิศวราในบาดาล กถวายนมัสการซึ่งบงกช ทสนขะวรา คือพุทธบาทายะมก แห่งสมเด็จบรมนายกดิลกโลกยมกุฎ อุดดํมวิสุทธชัชวาลย ประดูจบวรกาญจนมลา พระภาคยุเบดาแห่งสมเด็จ พระสรรเพชญ์พุทธเจ้านั้น สรรพชำระด้วยดี มีพระพุทธบาทยุคคล อำพลด้วยกงจักรลักษณบวร อันนิกรมฤธุกรนานา คือพรรคแห่งเทพามนุษยทังผอง ย่อมสร้องเสพเปนอัตรา พระญาภุเชดศวราธิราชนั้น ยออัญชวลีกรรมดำกล เลอถบวงบนสิโรเสร็จ กกราบทูลสมเด็จโลกยวิทู เบูกฤษฎด่งงนี้
ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพุทธภาคย อันว่าโทษอันมากแห่งข้าพระพุทธเจ้า อันเปนคนเขลาคนพาล อันโมหันธการบมีฉลาด ข้าแต่สมเด็จศิริสกยมุนีนารรถรวิวงษ อันว่าข้าพระพุทธองค์ผู้ใด นฤทรเนาในรชนิยารํมณ คือนิยํมในสงสารจักร แถมีภักตรกลับเปนบอด อยู่ด้วยมืดมนเปนหนักหนา คือมฤจฉาทฤษฎี อันสถิตสถีรอยู่พายใน กมลหฤไทยแห่งอาตมา ข้ากบมิได้รู้จัก ซึ่งสมเด็จแธรรยูกฤษฎา นัคคอันอุดดมา อันประกอบ
ด้วยพระอนันตญาณาธิคุณ อันไพบุลเปนอันมาก แลเว้นจากชาดิชะรามรณ แลเปนที่อดิสรณสกลสถาน อันว่าทานอันใดบมีมาก อันบุคคลบริจากเปนตังวาย ถวายแก่องค์สมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธองค์ใด ท่านนั้นกให้ผลมหิมา ข้าแต่สมเด็จอธิกโลกาบรํมนารรถ ข้าพระบาทแห่งพระพุทธองค์ กชราบหมั้นคงในบัดนี้ ซึ่งสมเด็จโลกยโมลีพระองค์นั้น เปนมหาบุคคลอันพิเศศ เปนบุญญเขตรอันลำเลอศ ว่าประเสอรรดิแต่กาลบัดนี้ไป แล
ข้าแต่สมเด็จทสพลธรวรญาณ จำเดอมแต่กาลบัดนี้ไปพหน้า อันว่าข้าพระพุทธองค์ กปลงชีพิตรจิตรสันดาน ถวายแต่สมเด็จศาษดาจารยโลกยนาถ ข้ากบมิอาจเพื่อจละเสียได้ ซึ่งพระไตร สรณาคมนบวร พระญานาคกถึงซึ่งพระไตรสรณไตรสถาน เมื่อนมัสการสำเร็จกิตย พระญานาคกสถิตอยู่ใน พระไตรสรณาคมเจ้า แล
อถ สัต์ถา ปาตลปโยธรปตลบริโยนัท์ธกนกาจลนิตัม์พรุหหาตกปั์จกุณ์ฑลํ ปุป์ผมกุลปติมปั์จางคุลีหิวิราชิตํ อนัป์ปกัป์ปูปชนิตสุจ์จริตผลสัชตํ สุภลัก์ขสั์จิตํ สํสารสาครมโหฆนิม์มุค์คชนตาตารณสมัต์ถํ สุฏ์ลลิตํ ภมรทัก์ขิณหัต์ถํ ปสาเรต๎วา อมิต์ตสัม์ภาราภินิพ์พัต์ตํ สํสารทุก์ขกัณ์ณสุลาทิปริตา ปิตสกลโลกกัณ์ณวิวรามตรสปริสิ์จมานมิวอติมธุรตรํ อัฏ์ังคสมัน์นาคตํ พ๎รห๎มโฆสํ โฆสิต๎วา ปาณาติปาตาทิปัจวิธเวรรหิตานิ สิก์ขาปทานิ อนุสาสติ
ในกาลน้นน อันว่าสมเด็จพระโลกยโมลิศบวร กบงพระกรยงงพระหัษถเบื้องขวา อันโสภนาประเสอรรดินัก อาจที่จะข้ามพักพวกสัตวทังหลาย อันจมแลหว้ายอยู่ในสมุทรคัมภีร สิ่งนี้คือสงสารทุกขอนนต สมเด็จพระทศพถบพิตร พระลักษณภิรัญชิตประสัษฐ อันนฤรรพัดดินฤมล ได้ด้วยผลแห่งสุจริตธรรม อันบังเกอดในกัลปอเนก อดิเรกด้วยพระหัษถวรางค เบญจางคุลยงคยิ่งกลึง ประดูจผกาพละพลึงเทศอันตุม ประชุมทังห้าดอกบริสุทธิ์ อันผุดขึ้นเหนือพ่างพื้นเศลสุพรรณ แถมีตรบอกเมฆันดรเมฆา อัน
คลุ้มให้พรรษาพรรษดี สมเด็จพระมหาธีรบวร กเปล่งพระพุทธสรสำเนียง ไกรกว่าเสียงกมเลนทรา มีองค์อัษฎาประการ อันอุบัดดิด้วยพุทธสมภารอนันต อันจนับกัลปบมิได้ แลไพรอะสนอะยิ่งนัก ประดูจอรรคอมฤตยสฤตชะลา รดในช่องกรรณาสัตวโลกย อันเดือดร้อนโสกอนนต เปนต้นว่าไม้แทงกรรณ อันกล่าวคือสังสารวัฏร พระองค์กตรัสโอวาท ซึ่งพระญานาคราชด้วยสิกษาบท อันจพึงอดพึงเว้น จากเบญจาวิธเวรอาฆาฎ มีปราณาติบาตเปนเดอม แล
นาคราชา สกลเทวมนุส์สหิตาหิตกุสเลน สัต์ตหิตปฏิตนายเกน นิย์ยานิกสาสเนน อนุสิฏ์โ สาธุภัน์เต ตถา ปริจ์จัช์ชิส์สามิ ยถา มํ ภควา อนุสาสสีติวัต๎วา สัพ์พัญ์ญุตญาณรุจิรวิสิป์ปภาหิ วิกสิตรัต์ตปังกชปัต์ตัพ์ภัน์ตเร ถิตํ นิลวัณ์ณภมรัฏ์นิภนยนมกราชิตํ อเนกโกฏิปุ์ัป์ปภาวปาปิยา สัม์ปุณ์ณํ ภควโต วรวทนวิกสิตํ สุวัณ์ณกุเล สยํ โอโลเกต๎วา อัฏ์าสิ
อันว่าพระญาอุรคาธิบดิสสร อันสมเด็จมุนิวรนิกรโลกยนาถ พระพุทธองค์ฉลาดในปรโยชนกดี บมีเปนประโยชนกแจ้ง แห่งนิกรเทพามานุษ อันอุดบัดดิในไตรภพ ผู้ใดอันปรารพภปราถนา พุทธองค์กนำมาหาปรโยชน พระพุทธองค์กโปรดให้โอวาท แก่สชนชาติทังปวงเสร็จ ด้วยโอวาทแห่งสมเด็จภูริเบญญา พระสัทธรรมเทสนาวรำ อันจะ
นำสัตวอันมาก ให้ออกจากวัฎรสงสาร พระญาบดีบาดาลกกราบทูลแก่สมเด็จ พระสรรเพชญ์พุทธเจ้าด่งงนี้ ข้าแต่สมเด็จพระพุทธภาคยวรงค สมเด็จพระพุทธองค์โอวาท ข้าพระพุทธบาทด้วยประการใดกดี ข้าพระองค์ละตรีพิธทุจริต ด้วยดำรงจิตรอันดี กมีด้วยประการด่งงนั้น
อันว่าพระญาทฤรรฆปฤษฎางคกายินทร กทฤษฎินซึ่งพระพุทธภักตร อันมีบวรลักษณอะมะลงค ประดูจสุพรรณบงกชสมุชลิต อันพิกษิตรจิตรุจี ด้วยพุทธศิริรังษีฉัพพิธวรรณ คือพระสรรพัญญุตญาณพิเศศ โสภนาพระเนตรยุคคล กฤษณพรรณมลตรการ ปานปักษภมรมฤธุกรยุคคล อันดำกลกรลา ปทุมาพรรณรัตดางค แลพุทธทวยางคเนตรลำเลอศ อันประเสอรรดิสำริทธิ์ ด้วยพระริทธานุภาพบุนยา อันคณนาด้วยโกฏิอันมาก พระญานาคกกราบนมัสการ แล้วกประดิษถานอยู่ในที่นั้น แล
อถ ภควา ภิขุสํฆปริวุต์โต อนาถปิณ์ฑิกัส์สํ นิเวสนํ อัค์คมาสิ ในกาลนั้น อันว่าสมเด็จบรมโมลี ตรีโลกา กฺรสรณรรค มีนิกรอรหันตสระพรั่งพร้อม นมัสการล้อมเปนบริพาร กเสด็จไปสู่สถานคฤหาสน แห่งอนาถบิณฑิกคฤหบดี มหาเศรษฐีอันนิมนต สมเด็จพระอะนนตญาณเจ้านั้น แล
อถ อนาถปิณฑิโก กึ ภัน์เต อติทิวา อาคตัต์ถาติ อาห อันว่าอะนาถบิณฑิกะเศรษฐี กราบทูลถามคดีจเดียงอรรถ แต่สมเด็จพระสรรพัชญ์ด่งงนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระภาคยอุดดมา แลสมเด็จอนันตญาณาจารยเจ้า เสด็จมาบมีเช้าสายยิ่งนัก เหดุการณลักษณด่งงฤา
อัช์ชาปิ เสฏ์ฐิ โมค์คัล์ลานัส์ส นัน์โทปนัน์ทัส์ส สังคาโม อโหสีติ อันว่าสมเด็จบรมา นาวรนรญาณาวิสารัท กดำรัสซึ่งพระพุทธฎีกา แก่อะนาถะบิณฑิกะด่งงนี้ ดูรามหาคฤหบดี วันนี้มีสงครามมหิมา แห่งแสดงโมคคัลลา แลนาคราชานันโทปนนท มีด้วยประการกลด่งงนี้เสร็จ พระตถาคตจึ่งเสด็จมา สู่คฤหาแห่งท่าน เวลากาลด่งงนี้ แล
กัส์ส ภัน์เต ชโย กัส์ส ปราชโยติ อาห อันว่าอะนาถบิณฑิกะเศรษฐี กกราบทูลถามคดีซึ่งสมเด็จ พระสรรเพชญ์ด่งงนี้ ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพุทธภาคยบวรา อันว่าความวิชยามีแก่ผู้ใด อันว่าความอะปะราไชยมีแก่ผู้ด่งงฤา
กิ์จาปิ โส มหานุภาโว อาสิวิโส ทุท์ธมิต์โต โมค์คัล์ลาเนน ทมิโต คัณ์ฑุปาโท วิย นิพ์พิสัต์ตํ ปัต์โต นิย์ยานิกสาสเนสกัต์ตานํ ปติฏ์ิโต ตถาคตัส์ส อัต์ตานํ โอรสปุต์ตภาวอุปัน์เนตีติ อาห
อันว่าสมเด็จพระบรมนารรถศาษดา แห่งกมเลนทรามรนรคณสกลโลกยกรุณา อันเปนภาณุพันธุสรรพัชญ์ กตรัสอรรถด่งงนี้ ชี้ลักษณประกาศ แก่อะนาถบิณฑิกะคฤหบดี มหาเศรษฐีพุทธุบาสกุดดมา อันว่าพระญานันโทปนันท อันเปนอาเสียรพิศ อันมีริทธิพลพหลพหะลา มหิมาอานุภาพนัก อันจักทวรมานกำรอแลมาน แถแสดงโมคคัลลานทรมานได้ ด้วยกำไรพลพหลมหิทธิ์ พระญานาคนั้นกหาพิศบมิได้ ประดูจงูไซแล
ไส้เดือน อันเกลื่อนอยู่ในแผ่นธรณี แลราชาบดีภุชังค กต้งงซึ่งอาตมภาพไว้ ในพระไตรสรณาคมน อันอุดดํมในพระสาษนา กเว้นในเบญจาวิธเวร อันจนำเจญแห่งอาตมา ออกจากภวไตรยาสงสารวัฏร กน้อมมาซึ่งกะรัชอาตมา แห่งนาคว่าเปนพุทธกุล อันกำเนอดในอูรธรา แห่งพระตถาคตนี้ แล
ตํ สุต๎วา เสฏ์ี เอวรูปํ มหานุภาวํ นิย์ยานิกสาสนํ อติปสีทิต๎วา สัต์ตาหํ พุท์ธัป์ปมุขานํ ปั์จัน์นํ ภิก์ขุสตานํ มหาสัก์การสมานํ กัต๎วา เอวํ มหานุภาวัส์ส เถรัส์ส สัต์ตาหํ สัก์การํ อกาสิ
อันว่ามหาเศรษฐี ได้สดับซึ่งพระพุทธฎีกาบวร แห่งสมเด็จนรวงพากยา กจำเรอญสรัทธาเหลื้อมใส ในบรมพุทธศาษนา แลเปนนิยยานิกะธรรม อันจะนำสรรพสัตวอันมาก ให้เจญจากวัฎรทุกขา แลมีพะหะวานุภาพทงงมวล มีสวะภาพบงงควรด่งงนี้ แล้วเศรษฐีเข้าประฎิบัดดิ ด้วยโสรมะนัสสสรัทธา สรรพบูโชปะกรณาดิเรก ทักษิณาทานอเนกนานา แก่พระสพกเบญจสต มีองค์สมเด็จพระสุคตชาประธาน สิ้นสับดวารสํมฤทธิ กประพฤดดิสักการบูชา พระมหาโมคคัลลานะอันอุดดํม อันธมีบรมฤทธานุภาพอันมาก กสิ้นทิพสภาคสับดวาร กมีด้วยประการด่งงนี้ แล
เตน การเณน เอตทัค์คํ ภิก์ขเว มม สาวกานํ อิท์ธิมัน์ตานํ ยทิทํ โมค์คัล์ลาโนติ ทุติยถาเน ถเปสิ เหตุด่งงนั้น อันว่าสมเด็จพระมหาสุทรรยา กต้งงพระมหาโมคคัลลานะเถระไว้ ในอรรคสถานะทุติยา ด้วยพระพุทธฎีกาบวร ว่าดูกรสงฆคณะศิษะยา อันว่าแสดงโมคคัลลานะนี้ประเสอรรฎิ เลอศกว่านิกรสาวกทังหลาย ยอดยิ่งด้วยฝ่ายริทธิ์ แล
ตัส์ส คุณํ ปกาเสน์โต สัต์ถา อาห อันว่าสมเด็จมหามุเนศวะรา โลกาจารยบพิตร เมื่อจะประกาสิตซึ่งคุณวะรา แห่งพระมหาโมคคัลลานะเถร ก็ตรัสพระคาถา แก่พระภิกษรุภิกษรุนน์นยาทด่งงนี้
ทเมต๎วา โย อทัน์ตานํ นาคาทีนํ มหาปเถ
ถเปสึ ตํ มหาวิรํ นมัน์ตุ สิรสาธโวติ
ดูราภิกษุภิกษุนีทงงหลาย หมายอันมีธรรมธราธาร อันว่าพระมหาโมคคัลลานผู้ใด ธทรมานได้ ซึ่งสัตวทงงหลาย หมายมีต้นว่านาคราช อันมีริทธิอำนาทมะโหฬาร อันบุทคลผู้อื่นจทรมานบมิได้ ธกต้งงสัตวทงงหลายไว้ในมรรคา อัษฎางโคดดมาประเสอรรดิ อันเลอศล้ำมรรคา สาธโว ดูราสาธุสับบุรุษุ พุทธุบาสกอุบาสิกา อันว่าท่านทงงหลาย จงต้งงจิตรถวายนมัสการ ซึ่งพระมหาโมคคัลลานเถรน้นน อันเธอมีสรรพความเพียร สดุดีด้วยเสียรแห่งอาตมา ด้วยใจสรัทธายินดีแห่งท่านทงงปวง เทอญ
นัน์โทปนัน์ทวัต์ถุ นิฏ์ฐิตํ อันว่าลักษณสูตรอันพรรณนา นันโทปนันทาเสียรพิศ อันสมเด็จพิชิตมารเจ้าบันทูล เสร็จบริบูรรณพระธรรมเท่านี้ แล
พุท์ธสิริต์เถเรน สังคายิตํ นัน์โทปนัน์ทวัต์ถุ นิฏ์ิตํ เถโร อันว่าพระมหาเถร อันเปนพระชิเนน โทรรสา พุท์ธสิรินาม ผู้ชื่อพระมหาพุทธศิริกสำแดง สังคายิตํ แต่งแต่สิลิษฐพจนมคธ สิลิฏ์ฐํ ให้เกลี้ยงเกลาในบทพระบาฬี นัน์โทปนัน์ทวัต์ถุ อันมีในนนโทปนนทปกรณัม นิฏ์ฐิตํ กสำเร็จในดำนานนิทาน อิติ เมาะ อิมินา ปกาเรน ด้วยประการด่งงนี้ แล
อหํ สิริปาโลนาม เตสํ ชนานํ ปสาทาย นัน์โทปนัน์ทวัต์ถุํ สิลิฏ์ํ พหุสัม์ผัส์สกํ โสวัต์ถิกมาลํ สังคายามิ
อหํ อันว่าข้า สิริปาโล ผู้ชื่อพระมหาสิริบาลกประกาศนาวจท โดยพระนามแต่บูรรพาทิ์บรรพัชช ครั้นนิวัตรนิเวศน เปนกระษัตรเพศวะรำ ธัม์มธิเปส์สชยเชฎ์ฐสุริยวํสนาม ชื่อเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ไชยะเชษฐสุริยวงษ สถิตรัทยงศฤงฆาร วังบวรสถานมงคล ดำกลเปนฝ่ายหน้า แลข้านี้กสำแดงบท สังคายามิ แต่งสิลิษฐพจนคำสยาม สิ
ลิฏ์ฐํ ให้เกลี้ยงเกลาตามในพระบาฬี นัน์โทปนัน์ทวัต์ถุํ ซึ่งมีในนนโทปนนทพัศดุ พหุสัม์ผัส์สกํ แลมีบทสัมผัสสะอันเจรอญ ปสาทาย เพื่อจให้จำเรอญปรีดา ภิรํมย เตสํ ชนานํ แห่งนิกรสรํมณพราหมณา แลเสวกามาตยราชบัณฑิตย โสวัตถิกมาลํ เปนถนิมรัตนภิรัญชิตกรรณา แห่งเมธาในโลกยนี้ แล
๏ นนโท พ่ายสิศยซ้าย ภควา
ปะนนทะ นาเคนทรา กราบเกล้า
สูตร์ ทีฆนิกายสา ทรเลอศ
บริบูรณ์ ธรรมพระเจ้า เทศนไว้ควรยอ ๚ะ
๏ เจ้าฟ้าธรรม ท่านแท้ พยายาม
ธิเบศร กุมารนาม บอกแจ้ง
ไชยเชษฐ ปัญญาคาม ภีรภาพ
สูริยวงษ์ ธรงแต่งแกล้ง กล่าวเกลี้ยงนนโท ๚ะ
พระบาฬีนนโทปนนทสูตรนี้ พระมหาพุทธสิริเถรเจ้าแต่งไว้แต่ก่อน บ่มิได้ลงพุทธสักราชไว้ ว่าเมื่อแรกแต่งพระบาฬีสำเร็จน้นน พุทธสักราชได้เท่าน้นนเท่าน้นน แลเจ้าฟ้าธรงพระผนวชกรมขุนเสนาพิทักษ์ มาธรงแต่งเปนเนื้อความคำประดับครั้งนี้ เมื่อสำเร็จน้นน พระพุทธศักราชล่วงไปแล้วได้ ๒๒๗๙ ปีกับ ๓ เดือน ในวาร ๑ ๑๕ฯ ๘ ๘ ทุติยาสาธปีมโรงนักสัตรอัษฐศก จุลสักราช ๑๐๙๘ ศก แลแต่แต่งพระบาฬีมาคุมเท่าถึงธรงแต่งเนื้อความคำประดับในครั้งนี้ แลจะรู้ว่าว่างอยู่น้นนจะไกลกันสักขี่สิบปีน้นนบ่มิได้แจ้ง
เมื่อแรกแต่งพระมหาชาติ์คำหลวงน้นน จุลศักราชได้ ๘๔๔ ศก แต่งนนโทปนนทสูตรคำหลวงครั้งนี้ จุลสักราชได้ ๑๐๙๘ ศก ว่างกันอยู่ถึง ๒๕๔ ปี
นนโทปนนทสูตร์ ที่พระบาฬีเปนปรกติอย่างเทศนาทั้งปวง มีอยู่ในพระคัมภีร์ทีฆนิกายสีลขันธน้นนต้งงเอวัมเมก่อน นนโทปนนทสูตร์อันมีในพระอัตถกถาแก้พระคัมภีร์อัปปทานนี้ อันพระมหาพุทธสิริเถรเจ้าแต่งเปนพระบาฬีคำประดับนี้บมิได้ต้งง เอวัมเม ก่อนเลอย บุคคลผู้มีปัญญาอย่าพึงสงไลยว่า นนโทปนนทสูตรนี้นอกคำพระอานนท์แลนอกสังคายนาย นนโทปนนทสูตร์นี้มีในสังคายนายแท้จริง แล
----------------------------
ข้าพระพุทธเจ้า นายสัง นายสา }
ชุบพระบาฬี นายทองชุบเนื้อความ
พระสมุดขาวอย่างนี้โบกด้วยฝุ่นสามครั้ง จึงลงน้ำกันเชื่อมครั้งหนึ่ง จึงเขียนพระอักษร แล้วจึงลงน้ำกันเชื่อมอีกสามครั้ง แม้นว่าต้องน้ำมิได้ลบเลือนเลอย อย่างโบกด้วยฝุ่นแลน้ำกันเชื่อมนี้ ของหลวงโชฎึกนอกราชการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย
พระสมุดนี้ชั่งได้หนัก |๒๒๒|๑
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย