9 มิ.ย. เวลา 12:00 • ปรัชญา

⚠️ เรากำลังสอนลูกหลาน...ให้เลิกเป็นมนุษย์

วันนี้แอดมีเรื่องอยากจะมาเล่าให้ฟังคือ แอดเพิ่งมีโอกาสได้ไปดูคลิปวิดีโอตัวหนึ่งของ ไซมอน ซิเน็ค มา แล้วมันแบบ...โดนใจมาก มันจี้ใจดำจนแอดรู้สึกว่าต้องเอามาขยายความเล่าต่อให้ได้เลยให้ทุกคนได้ฟังกันค่ะ เพราะว่าเค้าได้เปิดประเด็นว่า AI มันจะทำให้ความเป็นมษุษย์ลดลง
3
อธิบายก่อนว่า ไซมอน ซิเน็ค เค้าเป็นนักเขียนและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังระดับโลกค่ะ เขาเป็นที่รู้จักจากแนวคิด "เริ่มต้นด้วยคำว่า 'ทำไม' (Start With Why)" และทฤษฎี "วงกลมทองคำ" นั่นเอง หลายๆคนคงเคยเห็นหน้าเค้าแหละ แต่อาจจะไม่รู้ชื่อเค้า 😅
โดยในคลิปนี้เขาได้พูดถึงเรื่อง AI นี่แหละค่ะ แต่เขาไม่ได้มาพูดแบบนักเทคโนโลยีจ๋า หรือมาทำนายอนาคตที่น่ากลัวอะไรแบบนั้น แต่เขามาในมุมของนักคิดเรื่อง "คน" มากกว่า โดยเขาชวนให้เรามองลึกลงไปอีกชั้นว่า ไอ้เจ้าเทคโนโลยีสุดล้ำที่ทำให้ชีวิตเราสบายขึ้นทุกวันๆ เนี่ย มันกำลังพรากอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไปจากเราหรือเปล่า
ซิเน็คเค้าได้ตั้งคำถามกับ "ความสบาย" โดยเขาบอกว่าทุกวันนี้เราเหมือนถูกตั้งโปรแกรมให้รักความง่าย รักทางลัด อะไรที่ยากๆ เหนื่อยๆ เราจะพยายามเลี่ยงมัน แต่เขาบอกว่าเรากำลังเข้าใจผิดอย่างแรงเลยนะ เพราะไอ้ "ความยากลำบาก” กับ "ความพยายาม" นี่แหละ คือปุ๋ยชั้นดีที่ทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นจากข้างใน
2
ตอนฟังถึงตรงนี้ แอดว่าหลายๆ คนคงคิดภาพถึงตอนผู้ใหญ่หรือผู้ที่อาวุโสกว่าชอบว่าเราว่า เด็กรุ่นนี้รักสบาย ไม่ค่อยทดทนทำอะไรเองนั่นแหละ แล้วเราก็มักจะเถียงในใจว่า ก็มีมันวิธีง่ายกว่า จะทำอะไรยากๆไปทำไหม 😆
1
ถัดมาเขาก็ได้เล่าประสบการณ์ตอนเขียนหนังสือของตัวเอง โดยเขาบอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาเป็นนักคิดที่ลึกซึ้งขึ้นมาได้ ไม่ใช่ตอนที่หนังสือขายดีมีคนอ่านเยอะๆ นะคะ แต่เป็นช่วงเวลาที่เขานั่งจมอยู่กับหน้ากระดาษว่างๆ นั่งปวดหัวคิดหาคำที่ใช่ ลบแล้วเขียนใหม่ซ้ำๆ วนไปวนมาเป็นร้อยๆ รอบ
ช่วงเวลาแห่งความทรมานเล็กๆ นั่นแหละ คือช่วงที่สมองเขาได้ทำงานหนักที่สุด ได้สร้างเส้นทางความคิดใหม่ๆ ขึ้นมา มันคือการออกกำลังกายสมองดีๆ นี่เอง
พอ AI เข้ามา มันเหมือนเราได้ทางลัดวิเศษมาอยู่ในมือ อยากได้อะไรแค่พิมพ์บอก มันก็เสกคำตอบที่ดูดีและสมบูรณ์แบบมาให้ในไม่กี่วินาที เราก็เลยข้ามขั้นตอนที่ "เหนื่อย" ที่สุด ซึ่งก็คือ "การคิด" ไปโดยสิ้นเชิง
1
ซึ่งจุดนี้เขาบอกว่ามันน่ากลัวนะ ลองคิดดูสิคะว่า เราอาจกำลังสร้างคนรุ่นต่อไปที่รู้วิธี "ก๊อบปี้คำตอบ" แต่ไม่เคยได้เรียนรู้วิธี "คิดเพื่อหาคำตอบ" เลยแม้แต่น้อย 😱
5
ประเด็นถัดไปที่เชื่อมกันและน่าขนลุกกว่าเดิมอีก และแอดเชื่อว่าหลายๆ คนรวมถึงแอดยังไม่ได้นึกถึงคือ พอ AI เริ่มทำให้เราขี้เกียจที่จะคิด มันก็จะเริ่มลามไปถึงการ "ขี้เกียจที่จะรู้สึก" ด้วยค่ะ
1
ซึ่งมันอาจจะหมายความว่า ทักษะความเป็นมนุษย์ขั้นพื้นฐานของเรากำลังค่อยๆ หายไปอย่างน่าใจหาย ทักษะอย่างการเข้าใจความรู้สึกคนอื่น การปลอบใจเพื่อน หรือแม้แต่การทะเลาะกันแล้วหาทางคืนดีกัน ทักษะพวกนี้มันต้องเรียนรู้จากการลงสนามจริง จากการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจทั้งนั้น ไม่ใช่ถาม AI มาแล้วเอามาใช้
1
ตัวอย่างที่เขาพูดถึงคือ ให้เราลองจินตนาการดูนะว่า "ถ้าโลกนี้มีการมอบเรือให้กับเราทุกคนตั้งแต่วันแรกที่เกิด จะเกิดอะไรขึ้น? คำตอบก็คือ...จะไม่มีใครว่ายน้ำเป็นเลยแม้แต่คนเดียว แล้วพอวันหนึ่งที่เรือลำนั้นเกิดรั่วหรือเจอพายุจนล่มขึ้นมา ทุกคนก็จะจมน้ำตายกันหมด"
1
พอฟังจบคือ...แม่งจริงมาก "เรือ" ในที่นี้ก็คือเทคโนโลยีและ AI ที่ทำให้ชีวิตเราสบายสุดๆ ส่วน "การว่ายน้ำ" ก็คือทักษะการใช้ชีวิต การเข้าสังคม การรับมือกับปัญหา ที่เป็นเหมือนภูมิคุ้มกันให้เราเอาตัวรอดได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
1
ทุกวันนี้เรานั่งอยู่บนเรือที่สบายจนเราลืมไปแล้วว่าขาของเรามีไว้เพื่อว่ายน้ำ เราใช้ Google Maps จนเราจำทางเองไม่ได้ หรือแม้กระทั่งเราลืมการจำเบอร์โทรศัพท์กันไปแล้ว บางคนอาจจเป็นหนักถึงขึ้นใช้แชทคุยกันจนไม่กล้าสบตาคุยกับคนจริงๆ รวมถึงใช้ AI ช่วยร่างข้อความขอโทษแฟน จนเราพูดคำว่าขอโทษจากใจจริงๆ ไม่เป็น... มันน่ากลัวดีเหมือนกันนะ
1
เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้นค่ะ ซิเน็คยังลากเราไปดูผลกระทบในโลกของการทำงานต่ออีก ซึ่งก็มีเรื่องให้เราต้องอ้าปากค้างเหมือนกัน โดยเขาชี้ให้เห็นความย้อนแย้งที่ว่า ในสมัยก่อนตอนที่หุ่นยนต์เข้ามาแทนที่คนงานในโรงงาน สังคมก็ชี้นิ้วบอกให้คนงานเหล่านั้น "ไปปรับตัวสิ ไปเรียนรู้ทักษะใหม่"
1
แต่พอมาถึงยุคนี้ที่ AI กำลังจะเข้ามาแทนที่คนทำงานออฟฟิศใส่สูทผูกไทบ้าง บทสนทนากลับกลายเป็นเรื่อง "เราจะตั้งกองทุนมาช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ยังไงดี" มันทำให้เห็นเลยว่าเรามองค่าของคนไม่เท่ากันจริงๆ
แต่สิ่งที่แอดยังมองว่าล้ำไปกว่านั้นคือ เขามองว่าในอนาคตอันใกล้ โลกอาจจะไม่ได้แบ่งชนชั้นกันด้วยเงินทองอีกต่อไป แต่อาจจะแบ่งกันด้วย "ความสามารถในการคิด" ที่หมายถึงการคิดจริงๆ โดยมนุษย์ค่ะ
2
มันจะกลายเป็นโลกที่มีคนอยู่สองประเภท คือ "คนที่เป็นนาย AI" กับ "คนที่เป็นทาส AI" โดยคนกลุ่มแรกคือคนที่ยังคิดวิเคราะห์เองเป็น ยังตั้งคำถามที่เฉียบคมได้ และใช้ AI เป็นแค่เครื่องมือเสริม ขณะที่คนกลุ่มหลังคือ คนที่พึ่งพา AI จนเคยตัว คิดอะไรเองไม่เป็นแล้ว ทำได้แค่รอรับคำสั่งและทำตามที่ AI บอกเท่านั้น... แค่คิดตามก็หนาวแล้วค่ะ
2
แต่ท่ามกลางเรื่องที่ดูจะหม่นๆ ทั้งหมดนี้ ซิเน็คก็ยังชี้ให้เราเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นะคะ โดยเขาบอกว่าพอทุกอย่างมันเริ่มถูกสร้างโดย AI จนมัน "สมบูรณ์แบบ" ไปซะหมด ภาพก็สวยเป๊ะ เพลงก็เพราะเป๊ะ บทความก็ไร้ที่ติ... จนมันเริ่มรู้สึก "เลี่ยน" และ "ไร้วิญญาณ"
มนุษย์เราโดยสัญชาตญาณก็จะกลับมาเริ่มโหยหาสิ่งที่ตรงกันข้าม เราจะเริ่มมองหาสิ่งที่มัน "จริง" สิ่งที่มีตำหนิ มีร่องรอย และมีเรื่องราว ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ของ handmade จานที่ปั้นเบี้ยวๆ เสื้อที่ย้อมสีไม่เท่ากัน หรือแผ่นเสียงที่เสียงไม่ได้ใสปิ๊งเหมือนไฟล์ดิจิทัล มันถึงได้กลับมามีคุณค่าทางใจกับเรามากเป็นพิเศษ
ความไม่สมบูรณ์แบบเหล่านี้แหละ คือลายเซ็นของ "ความเป็นมนุษย์" ที่ไม่มีอัลกอริทึมไหนลอกเลียนได้ และมันอาจจะกลับมามีค่ามากขึ้นในอนาคตค่ะ
1
และทั้งหมดที่เล่ามา มันก็นำมาสู่คำตอบสุดท้ายที่เขาให้ไว้ ซึ่งแอดว่ามันเป็นส่วนที่ทรงพลังที่สุดในคลิปนี้เลย... เขาบอกว่า "ยาถอนพิษ" ที่ดีที่สุดสำหรับโลกที่กำลังมุ่งไปสู่ความสะดวกสบายและแยกตัวออกจากกันก็คือ สิ่งที่เรียบง่ายที่สุดที่เรามองข้ามไป นั่นคือ "ชุมชน" และ "มิตรภาพ"
เขาบอกว่าความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในงานปาร์ตี้หรือทริปเที่ยวสบายๆ แต่ถูกสร้างขึ้นใน "ช่วงเวลาที่ลำบากมาด้วยกัน" การที่ได้ร่วมหัวจมท้าย ผ่านพ้นอุปสรรคมาด้วยกันต่างหาก ที่ทำให้คนเราเชื่อใจและรักกันอย่างไม่มีเงื่อนไข ความสะดวกสบายไม่เคยสร้างความผูกพันที่แท้จริงได้เลย
2
ดังนั้น คำแนะนำสุดท้ายของเขาจึงตรงไปตรงมาสุดๆ ซึ่งก็คือ "ให้เรา 'จองคิวเพื่อนในปฏิทิน' เหมือนกับที่เราจองคิวประชุมงาน" ซึ่งฟังดูอาจจะตลกอยู่เหมือนกัน แต่ในยุคที่ทุกคนอ้างว่า "ไม่ว่าง" กันหมด การตั้งใจสละเวลาเพื่อเพื่อน การโทรไปคุยโดยไม่มีธุระ หรือการไปนั่งเจอกันจริงๆ คือการกระทำที่สำคัญที่สุดที่เราจะทำได้เพื่อเยียวยาจิตใจตัวเองและคนรอบข้าง
🎯 คลิปนี้น่าจะพอให้คำตอบเราได้ว่า ทักษะอะไรที่น่าจะมีความสำคัญในอนาคตค่ะ และเราคงต้องหาทาง balance การใช้ AI กับการใช้สมองของตัวเองให้ได้ รวมถึงต้องหาทางให้กับคนรุ่นถัดไปอีกเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเค้าเกิดมาในยุคที่ AI น่าจะฉลาดก
โฆษณา