9 มิ.ย. เวลา 22:44 • ความคิดเห็น

ว่าด้วยเรื่องจังหวะของชีวิต

ไม่แน่ใจว่า คุณจะเชื่อเรื่องนี้กันหรือเปล่า แต่สำหรับเรา จะว่าไม่เชื่อ แต่ก็คงต้องเชื่อ จริง ๆ มันอาจจะมีคำอธิบายที่ดีกว่านี้ แต่เมื่อสิ่งต่าง ๆ มันเกิดขึ้นแบบลงตัวพอดีกันเป๊ะ ๆ ก็คงจะเรียกว่า จังหวะลงตัวได้
อ่านมาถึงตรงนี้คงคิดว่า ฮั่นแน่ ได้งานแล้วอ่ะดิ
ยังค่ะ 5555
แต่อยู่ดี ๆ ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในหัว ประหนึ่งว่า พยายามจะหาเหตุผลว่า ทำไมนะ หางานไม่ได้สักที นอกจากอีเมลปฏิเสธที่เปิดอ่านกี่ทีก็รู้สึกท้อใจ และขมขื่นแบบไร้ภูมิ แม้คำพูดในเมลนั้นพยายามจะประดิดประดอยอย่างสวยหรู แต่ keyword คำเดียวที่เราสรุปได้ในนั้นก็คือ "เธอไม่ได้งานนะจ๊ะ" (ขอโทษค่ะ พอดีเป็น longtail keyword 555)
เดือนมิ.ย. กำลังจะผ่านเข้าสู่ครึ่งเดือนละ ก็ยังไร้วี่แววของ potential jobs ที่จะเรียกสัมภาษณ์ ถ้า ก.ค. ยังไม่ได้งาน เราคงเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย เพราะเงินที่ได้มาจากการจ้างออก มันก็คงเหลือน้อยลง (อยากเก็บไว้ใช้ในยามที่ลำบากจริง ๆ แบบเป็นเงินเก็บ เพราะทำงานมาเป็นสิบปี ไม่มีเงินก้อนเป็นเงินเก็บ เรียกได้ว่า ทำมาหากินที่แท้ทรู)
พูดถึงจังหวะชีวิต ปี 2567 ที่ผ่านมา เป็นปีสุดเลวร้ายในชีวิตของการเป็นมนุษย์คนนึงของเราเลยก็ได้ แล้วมันก็มีผลต่อเนื่องมาจนถึงช่วงต้นปีนี้ และจนกระทั่งมาสู่การโดนจ้างออก แน่นอนว่า ทุกเรื่องไม่ได้สัมพันธ์กัน ในความคิดของเรา ถ้าจะมีอะไรเป็นตัวเชื่อมโยง ก็คือ เกิดกับเราเนี่ยแหละ ประหนึ่งจองกฐินไว้คนเดียว
เริ่มตี้งแต่ โดนมิจฉาชีพหลอกหลายต่อหลายครั้ง (ฮั่นแน่ อย่าเพิ่งทัวร์ลงกันสิ ยังไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไร) มาในหลายรูปแบบ เสียทั้งแรงงาน เสียเงิน เสียสิทธิ์ในการเข้าถึงธุรกรรมออนไลน์ เพิ่งมาเข้าได้ช่วงต้นปี 2568 นี่เอง
ช่วงที่ชีวิตแย่สุด ๆ ก็คือ ทำงานแล้วหาทางเอาเงินมาใช้ไม่ได้ เพราะถูกปิดกั้นการทำธุรกรรมทางการเงินหมด บัญชีทุกบัญชีโดนอายัด จ่ายเป็นเช็กก็ขึ้นไม่ได้ ทนแบบนี้มาราว ๆ 3-4 เดือน จนแบบไม่ได้ ไม่ไหวแล้ว ชั้นต้องการความช่วยเหลือ
ก็เลยลองบากหน้าไปขอร้องบริษัทให้ช่วย ก่อนหน้านี้เคยไปขอครั้งนึง บริษัทบอกว่า ไม่ได้หรอกมันเป็นกฎ แต่ลองไปอีกทีโดยบอกว่า มันเป็นเรื่องของ well-being ของพนักงาน ขอเป็นขอยกเว้นสักครั้ง ในขณะที่กำลังรอปลดล็อกบัญชีอยู่ ไม่งั้นชั้นจะตายแล้วจริงๆ นะ
กินไม่ได้ เพราะไม่หิว นอนไม่หลับ เพราะแพนิค และวิตกกังวลตลอดเวลา (ยาที่กินประจำก็หมด) ไม่มีเงินไปหาหมอ หนี้ประจำก็ต้องหยิบยืมเงินจากเพื่อนสนิทและญาติที่สนิท เอาเป็นว่า ช่วงนั้นผ่านมาได้ ก็เพราะบุคคลเหล่านั้นเลย
และช่วงที่เป็นซอมบี้นั่นเอง ทำให้คิดได้ว่า เออ....ถ้าเทียบกับช่วงอกหัก ที่คิดว่าจะตายให้ได้ การอกหักของเรามันดู เล็กไปเลย (แต่ตอนนั้นมันใหญ่เท่าจักรวาล แล้วจะตายให้ได้เลยนะ)
การโดนเลิกจ้าง เอาจริง ๆ ก็มีข้อดีแหละ ทำให้เรามีเงินก้อนมาชดใช้หนี้ที่เพื่อน ๆ และญาติให้ยืมไว้จนเคลียร์ครบ เหลือแต่หนี้ในระบบ ที่ก้อนใหญ่เกินไป ขอใช้ตามรอบละกันนะ อย่างน้อย ใชืคืนคนที่เค้าไว้ใจให้เรายืม ก็ยังมองหน้าเค้าได้เต็มตา ไม่ต้องรู้สึกละอาย
จริง ๆ อยากรู้ว่า จังหวะชีวิตต่อไปจะเป็นยังไง ถ้าเราหางานต่อไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ลิสต์จะก้าวสู่หลัก 300 แล้ว พูดเลย การสมัครงานใช้พลังเยอะอยู่นะ ไม่ใช่แค่กดสมัครๆ ไปมั่ว ๆ ดังนั้น เวลาที่โดนปฏิเสธมันเลยเฟล (นั่นคือเหตุผลสินะ) ก็หวังว่าสักวันนึง จังหวะมันจะลงตัวที่เราได้งานที่ใช่สำหรับตัวเราอีกสักครั้งนะ
ขอโอกาสอีกแค่สักครั้ง แล้วเราจะทำให้ดีที่สุดเลยเชียว
โฆษณา