11 มิ.ย. เวลา 10:13 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ธ.ไทยพาณิชย์ มองค่าเงินบาท สิ้นปี 68 ที่ 31.5-32.5 บาท/ดอลลาร์

ชี้กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง พร้อมชู 5 ผลิตภัณฑ์ ช่วยบริหารความเสี่ยง
ธนาคารไทยพาณิชย์ กางแผนธุรกิจกลุ่มงานตลาดการเงิน หรือ SCB Financial Markets ชู 5 ผลิตภัณฑ์-บริการ รับมือค่าเงินผันผวนสูง จากความไม่แน่นอนมาตรการภาษี Trump มองค่าเงินสิ้นปี 68 ที่กรอบ 31.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ คาด กนง. ลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในปีนี้
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตลาดการเงินมีความท้าทายสูงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าที่กดดันภาคธุรกิจของไทย รวมถึงความไม่แน่นอนของมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า (Tariffs) จากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่มีผลกระทบการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศจึงเห็นภาพของค่าเงินบาทที่ผันผวนสูง
กลุ่มงานตลาดการเงิน หรือ “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน” ให้กับลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย ครอบคลุมทั้งด้านการบริหารความเสี่ยง การลงทุน และการเติบโตในตลาดโลก โดยนำเสนอ 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ได้แก่
1. ผลิตภัณฑ์ FX และเครื่องมือบริหารความเสี่ยง เช่น FX Forward และ FX Options ที่ออกแบบเฉพาะตามลักษณะธุรกิจลูกค้า
2. การขยายคู่สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) รองรับการขยายธุรกิจสู่ภูมิภาค
3. ช่องทางดิจิทัล เช่น FX Online, FX API และบริการซื้อขายพันธบัตรผ่าน SCB Easy
4. Structured Notes ที่อิงกับค่าเงิน หุ้น และดอกเบี้ย ตอบโจทย์เป้าหมายผลตอบแทน
5. บัญชีเงินฝาก E-FCD เพื่อบริหารสภาพคล่องและลดต้นทุนจากความเสี่ยงค่าเงิน
นอกจากนี้ SCB ยังเตรียมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Currency Futures ผ่าน TFEX และการใช้ AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย เพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกการเงินยุคใหม่
ด้านนายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทมีความผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการอ่อนค่าแตะ 35 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนแข็งค่ากลับมาอยู่ที่ 32.40 บาท ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน (เปลี่ยนแปลงกว่า 7.4%)
การแข็งค่าระยะหลังนี้ได้รับแรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่า ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับนโยบายกีดกันทางการค้าและแผนการคลังของ Donald Trump ที่อาจกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งนี่ทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่ยุโรปและตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย รวมถึงไทย มากขึ้น
โดยภายในปี 2025 คาดว่าเงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันให้แข็งค่าต่อเนื่อง และมองว่ากรอบเงินบาทจะอยู่ที่ราว 31.50-32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปีนี้ โดยมีปัจจัยหนุนการแข็งค่าหลักจาก (1) แนวโน้มดอลลาร์อ่อนค่า หลังนักลงทุนโลกทยอยขายสินทรัพย์สหรัฐฯ เพื่อกระจายความเสี่ยง (2) เงื่อนไขแฝงในการเจรจาการค้าสหรัฐฯ–เอเชีย ที่มักมีประเด็นการแทรกแซงค่าเงิน ที่อาจทำให้เงินเอเชียแข็งค่า
(3) เงินหยวนที่อ่อนค่าน้อยลงจากสงครามการค้าที่ทุเลาและมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ซึ่งช่วยลดแรงกดดันต่อเงินบาทที่มีความเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน และ (4) ราคาทองคำที่อยู่ในระดับสูง ที่ยังหนุนให้เงินบาทแข็งค่าต่อผ่านแรงซื้อขายทองคำ
อย่างไรก็ตาม แม้เงินบาทจะแข็งค่า แต่ก็อาจไม่ได้มากเท่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เนื่องจาก (1) การลงทุนต่างประเทศของไทยยังต่ำ ทำให้โอกาสเกิด Repatriation flows (การนำเงินกลับไทย) มีน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค (2) ความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่สูงมากสะท้อนจากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยของต่างชาติที่มีเพียง 9.8% ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่น รวมถึง (3) ไทยถูกลดน้ำหนักในดัชนี JPMorgan GBI-EM ทำให้มีโอกาสได้รับเงินทุนไหลเข้าน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย
สำหรับแนวโน้มในระยะสั้น (1-2 เดือนนี้) มองกรอบเงินบาทที่ราว 32.30-33.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยสิ่งที่ต้องจับตา คือคำพิพากษาศาลการค้าสหรัฐฯ เรื่องมาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์ ที่แม้ศาลจะชี้ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่รัฐบาลได้ยื่นอุทธรณ์ ทำให้มาตรการยังมีผลชั่วคราว
โดยสถานการณ์นี้อาจทำให้เงินบาทยังคงแข็งค่า เพราะหากต้องใช้กฎหมายใหม่ เช่น มาตรา 122 หรือ 301 ที่มีข้อจำกัดและกระบวนการตรวจสอบนานแล้ว ก็อาจจำกัดการอ่อนค่าของเงินบาทแม้ไทยถูกขึ้นภาษีเพิ่มเติมก็ตาม อย่างไรก็ตาม ให้จับตาช่วงต้นเดือนกรกฎาคมซึ่งอาจมีแรงกดดันอื่นๆ ที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้มากกว่าที่คาดได้
ส่วนมุมมองเกี่ยวกับดอกเบี้ยไทย คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายต่ออีก 2 ครั้งในปีนี้ จากปัจจัย เช่น ภาวะ Risk-on และเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า ที่มีโอกาสทำให้นักลงทุนต้องการพันธบัตรรัฐบาลในประเทศตลาดเกิดใหม่ (EM) รวมถึงของไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งเงินบาทที่แข็งค่าจะเพิ่มโอกาสให้ กนง. ลดดอกเบี้ยลงได้อีก หรือ การที่ GDP ไทย มีแนวโน้มอ่อนแอกว่าคาด ก็อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนการลดดอกเบี้ยด้วย
ขณะที่มุมมองเกี่ยวกับสถานะของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการเป็นเงินสำรองโลก (reserve currency) ก็ยังมองว่าจะคงสถานะนี้อยู่ แม้ดอลลาร์จะอ่อนค่าและทั่วโลกมีการหันไปเก็บเงินสำรองเป็นเงินสกุลอื่นกันมากขึ้น เนื่องจากพบว่าเงินดอลลาร์ยังคงมีสัดส่วนสูงในเงินสำรองที่ประเทศใหญ่ๆ ถือ โดยมีค่าเฉลี่ยราว 60% ของเงินสำรองทั้งหมด และแม้เงินหยวนของจีนจะถูกใช้แลกเปลี่ยนระหว่างภูมิภาคมากขึ้น แต่ก็ยังคิดมีสัดส่วนน้อยในเงินสำรองที่ต่างชาติถือ
โฆษณา