เมื่อวาน เวลา 11:30 • ไลฟ์สไตล์

“ทำตัวจน เพื่อจะได้รวยต่อไป”

Lucy Guo เศรษฐินีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดกับวิถีชีวิตสุดประหยัดไม่ต้องพิสูจน์เพื่อคนอื่นเห็น
🤑 ลองกูเกิลภาพของ ‘คนรวย’
ผลลัพธ์ที่เราจะได้ ส่วนใหญ่คือผู้ชาย (หรือผู้หญิง) ที่ใส่สูทราคาแพง ขับรถหรู และอวดความมั่งคั่งด้วยของแบรนด์เนม
แต่ในโลกจริงๆ อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นซะทีเดียว
มอร์แกน เฮาเซิล (Morgan Housel) เขียนเอาไว้ในหนังสือ ‘Psychology of Money’ ว่า
“ความมั่งคั่งคือสิ่งที่คุณมองไม่เห็น การใช้จ่ายเงินเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าคุณมีเงินเท่าไหร่ คือทางที่เร็วที่สุดที่จะทำให้คุณมีเงินน้อยลง”
และนี่คือปรัชญาและวิถีการใช้ชีวิตของมหาเศรษฐีหลายคน
ขอยกตัวอย่างสองคนที่มีมูลค่าทางทรัพย์สินหลักพันล้านเหรียญ​ คือ ลูซี่ กัว (Lucy Guo) อายุ 30 ปี ผู้ก่อตั้ง Scale AI และ มาร์ค คิวบาน (Mark Cuban) นักธุรกิจมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 6 พันล้านดอลลาร์
👗 [ Lucy Guo: มหาเศรษฐีที่ยังช็อปที่ Shein ]
ลูซี่ กัว ถือเป็นผู้หญิงที่สร้างตัวเองให้ร่ำรวยที่อายุน้อยที่สุดในโลก (แซงหน้า Taylor Swift ไปแล้ว) ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1,300 ล้านดอลลาร์จากหุ้น 5% ใน Scale AI บริษัท AI ที่เธอร่วมก่อตั้ง
แต่แทนที่จะใช้ชีวิตหรูหราเหมือนเศรษฐีคนอื่น เธอกลับเลือกใช้ชีวิตแบบประหยัดอย่างน่าประหลาด
"ฉันไม่ชอบเอาเงินไปทิ้ง" กัวให้สัมภาษณ์กับสื่อ Fortune อย่างตรงไปตรงมา
เธอยังคงซื้อเสื้อผ้าจาก Shein (แพลตฟอร์มขายเสื้อผ้าราคาประหยัดจากจีน) และให้ผู้ช่วยขับรถ Honda Civic คันเก่าไปส่ง "ทุกอย่างที่ฉันใส่ถ้าไม่ได้ฟรีมา ไม่ก็ซื้อจาก Shein บางตัวอาจจะคุณภาพไม่ค่อยดี แต่ก็มีสักสองสามชิ้นที่ใส่ได้ดี แล้วฉันก็ใส่มันทุกวัน" เธอเล่าไปพร้อมเสียงหัวเราะ
นอกจากนั้นแล้วกัวเวลาสั่งอาหารบน Uber Eats เธอก็ยังใช้พวกคูปอง 1 แถม 1 อะไรแบบนี้อยู่เลย
เธอสรุปปรัชญาการใช้ชีวิตของตัวเองด้วยประโยคที่เจอมาในตอนเช้าวันสัมภาษณ์ว่า “ทำตัวจน เพื่อจะได้รวยต่อไป” (Act Broke, Stay Rich)
แต่นั้นไม่ได้หมายความว่ากัวไม่เคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เพราะช่วงหนึ่งตอนเริ่มประสบความสำเร็จ เธอยอมรับว่าเคยแต่งตัวแบรนด์เนมจากหัวจรดเท้าเหมือนกับคนที่อยากประกาศให้โลกรู้ว่า “ฉันไปได้ไกลแล้ว” จนวันหนึ่งเธอถามตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงต้องเสียเงินไปกับของที่ไม่จำเป็น?”
คำตอบคือ “เพราะตอนนั้นยังไม่มั่นใจพอ” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง “เริ่มมีเงิน” กับ “ยังอยากพิสูจน์ตัวเองอยู่” จึงตกหลุมพรางการใช้จ่ายเกินตัวเพื่อสร้างภาพลักษณ์
อาจจะเป็นการแข่งกับเพื่อนที่สำเร็จเหมือนกัน หรือเป็นการแสดงออกให้สังคมเห็นก็ได้
แต่คนที่อยู่เหนือจุดนั้นไปแล้ว…ไม่จำเป็นต้อง “ขายภาพ” ใด ๆ อีก
🦈 เหมือนอย่าง มาร์ค คิวบาน นักธุรกิจมหาเศรษฐีและอดีตพิธีกรในรายการ Shark Tank และมีมูลค่าทางทรัพย์สินมากกว่า 6,000 ล้านเหรียญ (มากกว่ากัวถึง 4 เท่า)
เขาเป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจนของปรัชญานี้
โรเบิร์ต เฮอร์จาเวค (Robert Herjavec) เพื่อนร่วมรายการ Shark Tank เล่าประสบการณ์ครั้งแรกที่พบคิวบานว่า
"ก่อนที่จะเจอมาร์คเขามีมูลค่าทรัพย์สิน 3,000 - 4,000 ล้านดอลลาร์ (ตอนนี้ 6,000 ล้าน) ผมคิดว่าเขาจะแต่งตัวดีกว่านี้ แต่เขามาใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์"
“ผมเลยถามมาร์คว่าทำไมแต่งตัวแบบนี้ละ มาร์คตอบว่า 'โรเบิร์ต เพราะฉันทำได้ไง' ตอนแรกผมไม่เข้าใจ แต่หลังจากผ่านไป 16 ปี ผมเข้าใจแล้วว่า มาร์คไม่ได้อยู่ฝั่งที่ต้องขายแล้ว ทุกห้องที่เขาเข้าไป คนอื่นต่างหากที่ต้องมาขายของให้เขา"
"เมื่อคุณเดินเข้าไปในห้องที่มีคนใส่สูทไท 20 คน แต่มีคนหนึ่งใส่เสื้อยืดยืนอยู่ข้างหลัง คนนั้นแหละที่มีอำนาจ เพราะเขาทำงานหนักจนถึงจุดที่ใส่อะไรก็ได้ตามใจชอบ ระวังคนในเสื้อยืด ไม่ใช่คนในสูท"
มาร์คไม่จำเป็นต้องแต่งตัวแบบใดเป็นพิเศษเพื่อรู้สึกดีกับตัวเอง เพราะ “ความสำเร็จ” ต้นตอของความมั่นใจที่แท้จริง เขาสามารถใส่อะไรก็ได้ที่เขาอยากใส่
และที่จริงแล้วในหลายกรณี...คุณก็ทำแบบนั้นได้เช่นกัน
แน่นอน เราอาจเคยได้ยินคำว่า “แต่งตัวให้ดูประสบความสำเร็จ” ในหลายๆ กรณีเช่นการไปสัมภาษณ์งานหรือบางสถานการณ์อย่างงานเลี้ยง งานแต่งงาน งานที่เป็นทางการ เหล่านี้ก็ควรที่จะแต่งตัวให้เหมาะสมกับกาลเทศะ
แต่ในชีวิตประจำวันทั่วไป สิ่งของหรูหราในชีวิตอาจจะส่งผลที่ไม่คาดคิดได้เช่นกัน
📄 ผลการศึกษาในปี 2018 ชื่อ “The Status Signals Paradox” (ความย้อนแย้งของสัญลักษณ์ทางสถานะ) ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Social Psychological and Personality Science กลับพบว่า...แม้ผู้คนจะคิดว่าเครื่องหมายแสดงฐานะ เช่นรถหรือนาฬิกาหรูจะทำให้พวกเขาดูน่าสนใจขึ้นในสายตาผู้อื่น แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย
นักวิจัยเขียนไว้ว่า
“เวลาคนอยากหาเพื่อนใหม่ พวกเขามักคิดว่าแสดงเครื่องหมายความมั่งคั่งของตัวเองจะช่วยเพิ่มเสน่ห์ เช่น ขับรถหรู หรือใส่นาฬิกาแพง ๆ แต่จากมุมมองของคนที่อาจจะมาเป็นเพื่อนใหม่ คนที่แต่งตัวฟุ่มเฟือยกลับถูกมองว่าน่าคบหาน้อยกว่าคนที่แต่งตัวธรรมดาเสียอีก”
ในหนึ่งในการทดลอง ผู้เข้าร่วมการทดลองมีโจทย์คือทำตัวเองให้ดู “น่าคบหาในเชิงสังคม” มากขึ้น และถูกขอให้เลือกเสื้อยืดระหว่างตัวที่เขียนว่า “Saks Fifth Avenue” (ห้างหรูในอเมริกา) กับอีกตัวที่เขียนว่า “Walmart” (เชนซูเปอร์มาร์เก็ตที่ขายสินค้าทั่วไป)
ไม่น่าแปลกใจเลย—76% เลือกใส่เสื้อของ Saks
แต่เมื่อให้กลุ่มผู้เข้าร่วมอีกชุดประเมินว่า ใครน่าคบเป็นเพื่อนมากกว่า ปรากฏว่า 64% กลับเลือกคนที่ใส่เสื้อ Walmart
นักวิจัยสรุปว่า:
“เราอาจกำลังใช้เงินไปกับเครื่องหมายแสดงฐานะราคาแพงเป็นพันล้านดอลลาร์ โดยไม่รู้เลยว่ามันอาจทำให้คนอื่นไม่อยากเข้าใกล้เราด้วยซ้ำ”
แน่นอน งานวิจัยนี้เน้นเรื่องการสร้างมิตรภาพใหม่ ๆ ถ้าคุณเป็นที่ปรึกษาที่ต้องไปพบลูกค้ารายใหม่ การใส่เสื้อยืดขาดๆ อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในการสร้างภาพลักษณ์มืออาชีพ
เพราะในบางสถานการณ์ การแต่งกายให้ตรงตามความคาดหวังของคนอื่นก็ยังคงมีความสำคัญ
แต่ในขณะเดียวกัน "นิยามของการแต่งตัวแบบมืออาชีพ" ก็เปลี่ยนไปแล้ว
จากผลสำรวจของ Gallup พบว่า 41% ของพนักงานในสหรัฐฯ แต่งกายแบบ business casual ไปทำงาน
31% ใส่เสื้อผ้าลำลองทั่วไป และอีก 23% ใส่ชุดยูนิฟอร์มประจำบริษัท
หมายความว่า ในโลกการทำงานยุคใหม่ ความเป็นมืออาชีพไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “สูทและเนกไท” เสมอไปอีกแล้ว
สิ่งสำคัญคือความสบายใจและความมั่นใจ หากคุณรู้สึกสบายใจมากกว่าในเสื้อผ้าสบาย ๆ ก็ควรยอมรับความจริงนั้น
นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์ที่คนคิดว่าคนอื่นสนใจตัวเราว่า "Spotlight Effect" หรือ ความอคติทางความคิดที่ทำให้เราคิดว่าคนอื่นใส่ใจรูปลักษณ์เรามากกว่าความเป็นจริง
การศึกษาปี 2000 ใน Journal of Personality and Social Psychology พบว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้สังเกตสิ่งที่เราใส่ แม้สังเกตเห็น ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะสนใจ
🎯 [ สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเรื่องนี้ ]
บางคนทำงานหนัก เพื่อจะได้ซื้อรถหรู บ้านหลังใหญ่ กระเป๋าใบละแสน เพราะนั่นคือ “ภาพ” ของความสำเร็จ
แต่บางคนทำงานหนัก เพื่อจะได้มีอิสระในการแต่งตัวอะไรก็ได้ กินอะไรก็ได้ ไม่ต้องพิสูจน์อะไรให้ใครดูอีก
คุณอาจไม่ต้องขับ Honda Civic หรือใส่เสื้อ Shein เหมือนกัว คุณก็ไม่ต้องใส่เสื้อยืดเก่า ๆ เหมือนคิวบาน
แต่คุณควรถามตัวเองว่า
“ฉันกำลังใช้ชีวิตเพื่อแสดงให้คนอื่นดู หรือใช้ชีวิตในแบบที่ฉันสบายใจจริง ๆ?”
เพราะบางที ความมั่งคั่งที่แท้จริง…ไม่ใช่การ “มี” มากกว่าใคร แต่อาจจะเป็นการ “ไม่ต้องพิสูจน์” อะไรให้ใครอีกแล้ว
“Act Broke, Stay Rich” 💰
1
ไม่ใช่เพราะคุณต้องประหยัด
แต่เพราะคุณรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
และไม่ต้องซื้อ “การยอมรับ” จากใครอีกต่อไป
#aomMONEY #MakeRichGeneration #การเงินส่วนบุคคล #LucyGuo #MakeCuban
โฆษณา