เมื่อวาน เวลา 11:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

คัดเลือกบริษัทดี ผ่าน “Five Force Model” สูตร(ไม่)ลับ จากพี่กวี ชูกิจเกษม

หัวใจสำคัญที่พี่วีใช้คัดเลือกหุ้นดีมาโดยตลอดและไม่เคยหลุดจากกรอบเลย คือ Five Forces Model ใครที่ติดตามพี่วีมาตลอดจะคุ้นหูกับทฤษฎีแน่นอน เพราะพี่วีสอนเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ
ทฤษฎี Five Forces Model เป็นเครื่องมือใช้วิเคราะห์ธุรกิจที่ช่วยให้เข้าใจโครงสร้างการแข่งขันในตลาด ถูกคิดค้นโดย Michael E. Porter นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารกลยุทธ์ จาก Harvard Business School
โดย Five Forces Model วิเคราะห์ถึงแรงกดดันทั้ง 5 ที่มีผลต่อสภาวะแวดล้อมในการแข่งขัน ได้แก่
1. อำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ (Bargaining Power of Suppliers)
2. อำนาจต่อรองกับผู้ซื้อ (Bargaining Power of Buyers)
3. การแข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกัน (Competitive Rivalry)
4. การเข้ามาของผู้แข่งขันรายใหม่ (Threat of New Entrants)
5. ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitute)
ซึ่งพี่วีบอกว่า ปัจจัยที่ทำให้พี่วีตัดสินใจเลือกซื้อหุ้นนี้จะดู 3 ด้านนี้ คือ อำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ อำนาจต่อรองกับผู้ซื้อ และการแข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกัน ส่วนปัจจัยที่ทำให้พี่วีตัดสินใจขายหุ้นจะดูอีก 2 ด้านที่เหลือ คือ การเข้ามาของผู้แข่งขันรายใหม่ และ ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน
1. อำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ (Bargaining Power of Suppliers)
ซัพพลายเออร์ คือ คนที่ส่งวัตถุดิบสำหรับการผลิตให้กับบริษัท หากบริษัทมีอำนาจต่อรองสูงจะสามารถกดดันซัพพลายเออร์ในด้านราคาและเงื่อนไขต่างๆ ได้ และส่งผลให้ต้นทุนผลิตของบริษัทลดลง
เช่น
- หุ้น CPALL มีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ค่อนข้างสูงมาก
- หุ้น THAI (การบินไทย) มีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ต่ำ >> ซัพพลายเออร์ของการบินไทย คือ Boeing กับ Airbus การบินไทยไม่มีอำนาจในต่อรองเพราะซื้อเครื่องบินครั้งละไม่กี่ลำ
2. อำนาจต่อรองกับผู้ซื้อ (Bargaining Power of Buyers)
อำนาจต่อรองกับลูกค้าเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพื่อวิเคราะห์ว่าลูกค้าสามารถมีอิทธิพลกับบริษัทได้มากน้อยแค่ไหน เช่น ลูกค้าสามารถต่อรองราคาได้มั้ย หรือต่อรองขอลดราคาได้มั้ย เป็นต้น หากลูกค้ามีอำนาจในการต่อรองสูง อาจทำให้ความสามารถในการทำกำไรลดลง เพราะบริษัทอาจต้องลดราคา หรือเพิ่มคุณภาพสินค้า ซึ่งก็จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
เช่น
- บริษัทกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ มีอำนาจต่อรองกับลูกค้าค่อนข้างต่ำ เนื่องจากลูกค้าเป็นรายใหญ่ๆ ลูกค้าจึงมีอำนาจต่อรองราคาได้
- บริษัทกลุ่มโรงพยาบาล มีอำนาจต่อรองกับลูกค้าสูง เพราะลูกค้าไม่สามารถต่อรองขอลดราคาค่ารักษาพยาบาลกับแพทย์ได้
3. การแข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกัน (Competitive Rivalry)
วิเคราะห์การแข่งขันของอุตสากรรมนั้นๆ ว่า มีการแข่งขันรุนแรงมากน้อยแค่ไหน บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันมั้ย เป็นผู้นำในธุรกิจนี้มั้ย
โดยคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เข้าซื้อหุ้น Domino's Pizza Inc. (DPZ) เพราะร้าน Domino's Pizza มี Market Share เป็นอันดับ 1 ในร้านพิซซ่าที่ประเทศสหรัฐ เช่นเดียวกับพี่วีถ้าต้องซื้อหุ้นโลกก็พยายามจะเลือกหุ้นที่มี Market Share สูงสุด
4. การเข้ามาของผู้แข่งขันรายใหม่ (Threat of New Entrants)
วิเคราะห์โอกาสการเข้ามาของผู้แข่งขันรายใหม่ในตลาด หากบริษัทมีความแข็งแกร่ง ผู้แข่งขันรายใหม่เข้าสู่ตลาดได้ยากและไม่สามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาดได้ ส่งผลให้บริษัทสามารถครองตลาดได้ในระยะยาว
ซึ่งพี่วีได้เล่าว่า ถ้าอุสาหกรรมไหนเป็น Oligopoly หรือตลาดผู้ขายน้อยราย มีบริษัทรายใหญ่ครองส่วนแบ่ง 2-3 ราย คู่แข่งรายใหม่จะเข้ามาแข่งขันได้ยาก
เช่น
- ธุรกิจเครือข่ายการชำระเงิน ผู้นำตลาดมีอยู่ 2 ราย คือ Visa และ Mastercard
- ธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลม ผู้นำตลาดมีอยู่ 2 ราย คือ Coca-Cola และ Pepsi
- ธุรกิจสื่อสารในไทย ผู้นำตลาดมีอยู่ 2 ราย คือ True และ Advance
5. ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitute)
วิเคราะห์ว่ามีสินค้าหรือบริการใดที่สามารถทดแทนได้บ้าง ถือเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม หากอุตสาหกรรมมีสินค้าหรือบริการที่สามารถใช้ทดแทนได้มาก ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น การแย่งส่วนแบ่งการตลาดและแบ่งผลกำไรจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เช่น
- Smart Watch กำลังเริ่มเข้ามาแทน นาฬิกาอะนาล็อก
- Smart Phone มาแทน กล้องดิจิตอล
โฆษณา