13 มิ.ย. เวลา 03:55 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ธุรกิจร้านอาหาร...วิกฤตในโอกาส!

เป็นกระแสที่ถูกพูดกันหนาหูว่าใน “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก รวมไปถึงกับประเทศไทย ทำให้ธุรกิจใกล้ตัวหลายอย่างกำลังจะไปไม่ไหว ชัดเจนที่สุดคงเป็น “ธุรกิจร้านอาหาร” ซึ่งขณะนี้ต่างงัดกลยุทธ์ทางการตลาดทุกรูปแบบมาใช้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากมีเงินทุนที่พร้อมทุ่มลงไปกับสงครามการตลาดที่กำลังเข้มข้น ซึ่งสงครามการตลาดและกลยุทธ์ที่ว่า ยังไม่รู้ว่าจะจบลงไปแบบไหน...และจบลงเมื่อไหร่!!!
ว่าแต่สิ่งที่ธุรกิจร้านอาหารกำลังเผชิญหน้ามีปัญหาอะไร ใครกำลังเป็นผู้เล่น และปัญหาที่ว่า...หนักจริงหรือไม่ ???
ในส่วนของปัญหา...โดยหลักแล้วส่วนใหญ่จะมาจากเรื่องของกำลังซื้อที่ลดลง เรื่องของต้นทุนค่าแรงที่มีแนวโน้มว่า จะปรับสูงขึ้นรวมถึงต้นทุนวัตถุดิบที่ค่อนข้างผันผวน ในขณะที่ราคาสินค้าและบริการ แทบจะไม่สามารถปรับขึ้นได้ จนส่งผลกระทบต่อรายได้และอัตรากำไรของผู้ประกอบการ
1
ขณะที่การเข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงิน ยังเข้มงวดและเข้าถึงได้ยาก ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ รายเล็กขาดสภาพคล่องขยายธุรกิจได้ยาก และยังทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจแทบจะสูงกว่าหรือเท่ากับรายรับที่ได้
ท้ายที่สุด เป็นเรื่องของภาวะการแข่งขันรุนแรง หลังมีกระแสของร้านอาหารจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันในไทยกันมากขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศจีน ที่กำลังรุกหนัก ขณะที่ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งเริ่มเปิดพื้นที่ให้เป็นโซนร้านอาหารมากขึ้น ซึ่งเมื่อมีร้านอาหารมากขึ้นแต่จำนวนคนเดินห้างบางแห่ง ยังไม่ได้กลับมาสูงส่งผลให้เกิดปัญหา Over Supply ตามมา...
ขณะที่ภาพรวมของบริษัทเจ้าของกิจร้านอาหารในตลาดหลักทรัพย์ฯ แม้มีอยู่ไม่กี่บริษัท แต่บริษัทเหล่านี้กลับมีสาขาและโครงข่ายที่ครอบคลุมเป็นจำนวนมาก โดยบริษัทเหล่านี้ประกอบไปด้วย...
บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT ซึ่งปัจจุบันมี 9 ร้านอาหารดังในแบรนด์ต่างๆ รวมแล้วกว่า 1,240 สาขา รายนี้พบว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2568 มีกำไรเพียง 6% ของปีที่ผ่านมาเท่านั้น
บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL ปัจจุบันมี 19 ร้านอาหารดังในแบรนด์ต่างๆ รวมแล้วกว่า 570 สาขา พบว่าเพิ่งจะมีกำไรเข้ามาเพียงไม่กี่ไตรมาส หลังจากที่ก่อนหน้านี้ขาดทุนต่อเนื่องมากหลายปี
บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป หรือ M ปัจจุบัน มี 11 ร้านอาหารดังในแบรนด์ต่างๆ รวมแล้วกว่า 702 สาขา รายนี้แม้ว่ารายได้และกำไร จะยังคงอยู่ในระนาบที่สม่ำเสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่พบว่า อัตรากำไรมีแนวโน้มปรับตัวลง ก็แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้น
บมจ. เอส แอนด์ พี ซินดิเคท หรือ SNP ปัจจุบันมี 11 ร้านอาหารดังในแบรนด์ต่างๆ รวมแล้วกว่า 155 สาขา รายนี้แม้หลายปีที่ผานมา รายได้และกำไรจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่พบว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2568 มีกำไรเพียง 10% ของปีที่ผ่านมาเพียงเท่านั้น
บมจ. มากุโระ กรุ๊ป หรือ MAGURO ปัจจุบันมี Maguro 14 สาขา Hitori Shabu 6 สาขา พบว่า อัตรากำไรมีแนวโน้มปรับตัวลงอย่างชัดเจน ...แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่เข้มข้นอย่างชัดเจน
บมจ. เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป หรือ ZEN ปัจจุบันมี 13 ร้านอาหารดังในแบรนด์ต่างๆ รวมแล้วกว่า 341 สาขา รายนี้นอกจากกำไรที่ได้ในช่วงปีที่ผ่านมาจะค่อนข้างต่ำ พร้อมมีอัตรากำไรที่ค่อนข้างน้อยก็ทำให้มองเห็นสถานการณ์คับขันที่ชัดเจน
บมจ. อาฟเตอร์ ยู หรือ AU ปัจจุบันมี 3 ร้านดัง ร้านอาหารดังในแบรนด์ต่างๆ รวมแล้วกว่า 75 สาขา รายนี้พบว่าด้วยสถานการณ์ของอัตรากำไรที่ค่อนข้างน้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมส่งผลให้เห็นถึงการปรับตัวที่ยังคงเชื่องช้า
บมจ. ปลูกผักเพราะรักแม่ หรือ โอ้กะจู๋ (OKJ) ร้านอาหารดังในแบรนด์ต่างๆ รวมแล้วกว่า 104 สาขา รายนี้พบว่า ทั้งรายได้และกำไรเป็นไปในแนวโน้มที่ดี สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ของผู้บริโภคที่กำลังเดินไปตามแนวทางของบริษัทได้คาดการณ์เอาไว้
บมจ. เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ หรือ JCKH ปัจจุบันมี 13 ร้านอาหารดังในแบรนด์ต่างๆ รวมแล้วกว่า 16 สาขา รายนี้ด้วยผลการดำเนินงานและอัตรากำไรที่ติดลบต่อเนื่องมาหลายปี ส่งผลให้ไม่จำเป็นที่จะต้องมาพูดถึงการปรับตัวว่าจะต้องทำหรือไม่ เพราะถึงขนาดนี้แล้วถ้ายังคงปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเจ๊เมาธ์ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกแล้ว
ท้ายที่สุด คือ บมจ. เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ JMART ซึ่งได้เข้าไปถือหุ้น 30% อยู่ใน บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของร้านสุกี้ตี๋น้อย จำนวน 82 สาขา พบว่า ถึงแม้บริษัทแทบจะไม่ได้มีส่วนในการบริหาร
แต่การที่ร้านสุกี้ตี๋น้อยในปีล่าสุด มีรายได้ 7,075 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้าราว 34% พร้อมกับกำไรสุทธิอีก 1,168 ล้านบาท ก็สะท้อนให้เห็นถึงการใช้การตลาด ที่แปลกใหม่นำหน้าซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ดี
อย่างไรก็ตาม หากจะมองผ่านเรื่องของรายได้ และกำไรของบริษัทเจ้าของธุรกิจร้านอาหารในตลาดฯ ในจังหวะที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ Recession ถึงแม้หลายบริษัทอาจมีกระแสข่าวไม่ค่อยดี แต่ก็ยังคงสามารถที่จะพยุงตัวต่อไปได้ และยิ่งเป็นบริษัทที่ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ นำหน้าบริษัทอื่น ก็ทำให้มีโอกาสไปได้ดีกว่าแน่นอน
เจ๊เมาธ์เชื่อว่า ในวิกฤตการณ์ใดก็ตามยังมีโอกาสอยู่เสมอ...เพียงแค่จะมีใครมองเห็นโอกาสใดในวิกฤตหรือไม่ก็เท่านั้นเอง
โฆษณา