13 มิ.ย. เวลา 12:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

AI ฝ่ายป้องกัน จากเครื่องมือช่วยงานสู่ผู้พิทักษ์ไซเบอร์ตัวจริง

แค่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่เป็นแค่ "ผู้ช่วย" ที่คอยช่วยกรองและวิเคราะห์ข้อมูล หรือแจ้งเตือนเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น แต่ในปี 2025 นี้ AI ได้เปลี่ยนบทบาทไปโดยสิ้นเชิง จากเครื่องมือช่วยงานกลายเป็นผู้พิทักษ์ไซเบอร์ที่มีส่วนสำคัญต่อความอยู่รอดขององค์กร
เหตุผลสำคัญคือ ขณะที่อาชญากรทางไซเบอร์ใช้ AI สร้างการโจมตีที่ซับซ้อนและเร็วขึ้น ฝ่ายป้องกันก็ต้องใช้ AI ในการตอบโต้ด้วยเช่นกัน ทำให้ AI กลายเป็นผู้เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง
ป้องกันแบบเชิงรุก ตรวจจับก่อนที่ปัญหาจะเกิด
สิ่งที่ทำให้ AI ในปี 2025 แตกต่างจากเดิมคือความสามารถในการวิเคราะห์พฤติกรรม หรือ Behavioral Analytics แบบละเอียดลึก AI จะสร้างแผนภาพจากระบบและพฤติกรรมปกติของผู้ใช้ เช่น เวลาที่ใช้งาน ไฟล์ที่เปิดบ่อย หรือคำสั่งที่รันเป็นประจำ
เมื่อมีสิ่งใดที่ผิดจากปกติเกิดขึ้น AI จะตรวจพบและสามารถทำการตัดการเชื่อมต่อของเครื่องที่น่าสงสัยออกจากระบบ ปิดการเข้าใช้งานที่ผิดปกติในทันที และจะทำการส่งข้อมูลที่วิเคราะห์แล้วให้ทีมรักษาความปลอดภัย เปรียบเสมือนกับมียามรักษาความปลอดภัยที่ไม่เคยหลับ และสามารถตัดสินใจเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง
ระบบตอบสนองอัตโนมัติ ลงมือทันที ไม่รอคนสั่ง
ในยุคที่การโจมตีทางไซเบอร์เกิดขึ้นอย่างรวด การรอให้คนมาวิเคราะห์ก่อนตอบสนองอาจสายเกินไป ระบบอย่าง Microsoft Security Copilot หรือ Autonomous Response Engines ถูกพัฒนาให้ทำการ
- วิเคราะห์ความรุนแรงของการโจมตีได้ทันที
- ปรับแต่งระบบป้องกันอัตโนมัติ
- ประสานงานกับระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ เพื่อสั่งการตอบโต้
AI จึงไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วย แต่กลายเป็น "นักสู้แนวหน้า" ที่พร้อมตัดสินใจและลงมือป้องกันได้ทันที
ทีม SOC ทำงานน้อยลง แต่แม่นยำกว่า
ปัญหาใหญ่ของทีมรักษาความปลอดภัย (SOC) คือ การได้รับการแจ้งเตือนมากเกินไป ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าเพราะต้องตรวจสอบข้อมูลหลายพันรายการต่อวัน ซึ่งเกือบ 90% เป็นการแจ้งเตือนที่ไม่ใช่เหตุการณ์ร้ายแรง ดังนั้น AI จึงได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้โดย
- คัดกรองและจัดลำดับความสำคัญของการแจ้งเตือน
- เรียนรู้จากการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำมาใช้วิเคราะห์กรณีใหม่
- กรองข้อมูลล็อกแล้วแสดงเฉพาะเหตุการณ์ที่ต้องตรวจสอบจริงๆ
ผลลัพธ์คือทีม SOC สามารถเน้นจัดการกับภัยคุกคามที่แท้จริง ลดงานซ้ำซ้อน และตอบสนองได้เร็วขึ้น
การฝึกป้องกันด้วย AI
อีกกลยุทธ์ที่องค์กรชั้นนำใช้ คือ AI Red Teaming หรือการให้ AI แสดงบทบาทเป็นผู้โจมตี เพื่อทดสอบระบบป้องกันและหาจุดอ่อนก่อนที่ผู้ร้ายตัวจริงจะเจอ โดยระบบจะสร้างสถานการณ์จำลอง เช่น
- อีเมลหลอกลวงที่สร้างด้วย AI
- มัลแวร์ที่เปลี่ยนรูปแบบตัวเองได้
- การโจมตีที่เลียนแบบพฤติกรรมคนจริง
จากนั้น AI ฝ่ายป้องกันจะถูกทดสอบว่าสามารถรับมือได้หรือไม่ ช่วยให้องค์กรได้เรียนรู้และปรับปรุงก่อนที่จะเกิดปัญหาจริง แม้ AI จะฉลาดและทำงานได้รวดเร็ว แต่ก็ยังไม่สามารถแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ซับซ้อนหรือต้องพิจารณาบริบททางธุรกิจ ฉะนั้นองค์กรที่ประสบความสำเร็จคือองค์กรที่ผสานการทำงานของ AI และคนได้อย่างลงตัว เช่น
- ให้ AI ทำงานที่ซ้ำซ้อนและต้องการความรวดเร็ว
- ให้คนตัดสินใจในกรณีที่ต้องใช้ดุลยพินิจหรือจริยธรรม
- ให้ทั้งสองฝ่ายเรียนรู้และพัฒนาร่วมกัน
สรุป จากโล่เงียบสู่ผู้พิทักษ์อัจฉริยะ
การเปลี่ยนแปลงของ AI จากเครื่องมือช่วยงานมาเป็นผู้พิทักษ์ระบบไซเบอร์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเทคโนโลยีพร้อม แต่เพราะความจำเป็นที่ต้องรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและฉลาดขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้น AI ฝ่ายป้องกันในปี 2025 ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ตอบโต้อย่างเดียว แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการป้องกันเชิงรุกที่ช่วยให้องค์กรสามารถ
- ตรวจจับภัยได้อย่างรวดเร็ว
- ตอบสนองได้ทันท่วงที
- ลดภาระงานของคน
- สร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน
โลกไซเบอร์ในปัจจุบันไม่ได้ต้องการแค่ "เกราะป้องกัน" อีกต่อไป แต่ต้องการ "ผู้พิทักษ์" ที่พร้อมต่อสู้ตลอด 24 ชั่วโมงและนั่นคือบทบาทใหม่ของ AI ฝ่ายป้องกัน
นึกถึงเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไว้ใจ BAYCOMS  
Your Trusted Cybersecurity Partner.
ติดต่อสอบถามหรือปรึกษาเราได้ที่ :  
Bay Computing Public Co., Ltd  
Tel: 02-115-9956  
Email: info@baycoms.com  
Website: www.baycoms.com  
#BAYCOMS #YourTrustedCybersecurityPartner #Cybersecurity  #AI
โฆษณา