วันนี้ เวลา 06:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

BJC น่าเข้าไหม? จากต้นปีราคาร่วง 22% โบรกฯ ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” มองรายได้-กำไรโตทั้ง Q2 และปี 68

ราคาหุ้น บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องภายใน 1 เดือน โดยวันที่ 13 มิ.ย. 68 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 18.60 บาท ลดลง 4.62% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 72.11 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากนับจากช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 21.52% จากระดับ 23.70 บาท ณ วันที่ 13 พ.ค. 68 โดยคาดว่าปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น เกิดจากความวิตกกังวลในด้านผลการดำเนินงาน เนื่องจากในไตรมาส 1/68 มีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
1
อย่างไรก็ดี ในส่วนของมุมมองนักวิเคราะมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกัน คือแนะนำ “ซื้อ” หุ้น BJC โดยมองว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/68 และงวดปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตทั้งในส่วนของรายได้และกำไร
1
โดยบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” BJC ด้วยราคาเป้าหมาย 26.00 บาท คาดการณ์กำไรหลักปีนี้โต +14% หนุนโดยยอดขายที่เติบโต, การปรับ Product mix เพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าแบรนด์ของตนเองที่มาร์จิ้นสูงมากขึ้น, บริหารต้นทุนการผลิตได้มีประสิทธิภาพ และราคาวัตถุดิบอยู่ในระดับที่ทำกำไรได้ดี ณ ราคาหุ้นปัจจุบันมี P/BV ต่ำเพียง 0.7 เท่า และให้ DY ประมาณ 5% ต่อปี
เช่นเดียวกับ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด แนะนำ “ซื้อ” BJC ด้วยราคาเป้าหมาย 24.00 บาท ทั้งนี้ บริษัทรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 1,091 ล้านบาท (-33.7% จากไตรมาสก่อน, +155.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน)
สำหรับเป้าหมายผลประกอบการทั้งปีบริษัทคาดเติบโตระดับ Mid-Single Digit (4-6%) อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นราว 20-40 bps โดยตั้งงบลงทุนที่ 1.0 – 1.2 หมื่นล้านบาท เน้นที่การขยายสาขา ปรับปรุงโรงงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งปีนี้บริษัทมีแผนปิดสาขา 3 สาขา เน้นไปที่สาขาที่หมดสัญญาและไม่ทำกำไร ด้านแผนการเปิดสาขา
ได้แก่ Big Format Store 7 สาขา (Hypermarket 2, Supermarket 5), Big C Mini 200 สาขา, Pure Pharmacy 9 สาขา, Asia Book 15 สาขา, ร้านกาแฟ 5 สาขา, ต่างประเทศ (Big C Hong Kong 24 สาขา, Big C Mini Cambodia 3 สาขา) รวมถึงแนวโน้มของต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/68 คาดผลการดำเนินงานจะยังสามารถเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน จากปัจจัยฤดูกาล และจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเมื่อพิจารณารายได้ธุรกิจ PSC ในงวดมีคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์กระป๋องของผลิตภัณฑ์หนึ่งกลับเข้ามา ตั้งแต่ช่วง พ.ค. ที่ผ่านมา หลังจากที่มีการหยุดสั่งซื้อชั่วคราวไปในช่วงก่อนหน้า
1
ด้านต้นทุนราคา Soda Ash และ Aluminium ปรับตัวลง ส่งผลให้ GPM สูงขึ้น รายได้ธุรกิจ MSC แม้ว่าไตรมาส 2/68 นี้ สภาพอากาศไม่ร้อนจัด และมีฝนตกค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้สินค้าคลายร้อนมียอดขายลดลง ทั้งในส่วนของกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าทำความเย็น และเครื่องดื่ม แต่คาดรายได้กลุ่มสินค้าอาหารสดยังเติบโตต่อเนื่อง
ส่งผลให้ SSSG เม.ย. – พ.ค. ยังเป็นลบเล็กน้อย แต่คาดจะกลับมาเป็นบวกได้ในช่วง มิ.ย. นี้ ส่งผลให้ไตรมาส 2/68 นี้ SSSG ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านต้นทุนทางการเงินลดลง และมีการ divest ธุรกิจ Thai Scandic Steel ออกไปในช่วงไตรมาส 1/68
ขณะที่. บล.เอแอสแอล ประเมินรายได้และกำไรสุทธิทั้งปีเท่ากับ 1.6 แสนล้านบาท และ 4.8 พันล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 4.0% และ 20.1% ตามลำดับ
โฆษณา