เมื่อวาน เวลา 11:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ทุนไทยในกัมพูชา 5 หมื่นล้านผวา ข้อพิพาทลากยาว ฉุดธุรกิจติดหล่ม ลุ้น JBC พบทางออก

ทัพธุรกิจไทยจับตาใกล้ชิด ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชายืดเยื้อกดดันความเชื่อมั่น ทุนไทย 5 หมื่นล้าน กังวลสถานการณ์บานปลาย ฉุดธุรกิจติดหล่ม ค้าชายแดนเสี่ยงสูญวันละ 500 ล้านบาท ลุ้นประชุม JBC วันนี้พบทางออก หวังเร่งฟื้นสัมพันธ์ 75 ปีไปต่อ
จากสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชาในเวลานี้ นอกจากมิติทางการเมืองและความมั่นคงที่น่าจับตามองแล้ว ผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในระดับชายแดนก็เริ่มส่งสัญญาณแรงกระเพื่อมอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะภาคการค้าและการลงทุนของไทยในกัมพูชาที่ต้องเผชิญกับภาวะไม่แน่นอนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • มูลค่าความเสียหายเสี่ยงแตะ 500 ล้านบาทต่อวัน
นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หากสถานการณ์ข้อพิพาทลุกลามจนถึงขั้นปิดด่านการค้าทั้งหมดระหว่างสองประเทศ จะก่อให้เกิดความเสียหายเฉลี่ยถึง 500 ล้านบาทต่อวัน จากมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนไทย-กัมพูชาปีที่แล้วมีมูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท
มูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนระหว่างไทย-กัมพูชาปีที่แล้วมีมูลค่า 1.81 แสนล้านบาท(เฉพาะการค้าชายแดนมีมูลค่า 1.75 แสนล้านบาท) หากนำมาหารเฉลี่ย 365 วันจะอยู่ที่ราว 493 ล้านบาท หรือกลม ๆ คือ 500 ล้านบาทต่อวัน หากทุกอย่างหยุดนิ่ง สินค้าไปไม่ได้เลย
แม้ในขณะนี้ด่านชายแดนจะยังไม่ถูกสั่งปิดทั้งหมด แต่มีการจำกัดเวลาเปิด-ปิดด่านที่เข้มงวดขึ้น จากเดิมเปิดเวลา 06.00 น. ปิด 21.00 น. กลายเป็นเปิด 08.00 น. และปิด 16.00 น. ทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด รถบรรทุกต้องเข้าคิวข้ามแดนตั้งแต่เช้ามืด ยิ่งเพิ่มต้นทุนให้กับภาคโลจิสติกส์และผู้ประกอบการขนาดเล็ก
  • โลจิสติกส์สะดุด-รถติดข้ามแดนหลายกิโลฯ
ตอนนี้ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องห้ามคนข้ามแดน แต่ระบบโลจิสติกส์ของผู้ค้าชายแดนปั่นป่วน รถบรรทุกต้องไปต่อคิวหลายกิโลฯ โดยเฉพาะที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นด่านหลักของการค้าชายแดน รถต้องไปรอตั้งแต่ตีห้าเพื่อข้ามแดนก่อนหมดเวลา
นายวรทัศน์ ตันติมงคลสุข
แม้จะยังสามารถขนส่งสินค้าได้บ้างในช่วงเวลาที่จำกัด แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อ จะกระทบถึงผู้ส่งออกรายเล็ก รายกลาง และชุมชนพรมแดนที่พึ่งพาการค้ารายวันเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง
  • นักลงทุนไทยในกัมพูชาเริ่มกังวล
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังสร้างความกังวลให้กับภาคธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา โดยเฉพาะในภาคการผลิต การค้าปลีก และธุรกิจบริการต่าง ๆ ที่ขณะนี้มีจำนวนผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนมากกว่า 100 ราย มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 50,000 ล้านบาท
ธุรกิจหลักที่ไปตั้งฐานในกัมพูชา อาทิ แม็คโคร ซีพี แฟรนไชส์ 7-อีเลฟเว่น บิ๊กซี SCG โฮมมาร์ท โกลบอลเฮ้าส์ กลุ่มโรงงานการ์เมนต์ นิคมอุตสาหกรรมศรีโสภณ ของที.เค.กรุ๊ป รวมถึงกลุ่มพลังงานและบริการ เช่น ปตท. และร้านกาแฟอเมซอนที่มีสาขาในกัมพูชากว่า 600-700 แห่ง ร้านกาแฟอินทนิลของบางจาก รวมถึงธุรกิจร้านอาหารไทยอีกจำนวนมาก
โดยนักลงทุนไทยอยู่ในกัมพูชาหลายร้อยราย ส่วนใหญ่เป็นการค้าปลีกและภาคบริการ สร้างงานจำนวนมากให้กับแรงงานท้องถิ่น ปัญหาความไม่แน่นอนในเวลานี้ทำให้นักลงทุนเริ่มลังเล โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาวที่ต้องการเสถียรภาพด้านนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชากล่าวอีกว่า ในอดีตไทยเคยเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับต้น ๆ ของกัมพูชา แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ที่มีปัญหากลายเป็นอุปสรรคจนไทยหล่นไปอยู่อันดับ 9 ของนักลงทุนต่างชาติในกัมพูชา รองจากจีน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์
  • หวังกลับสู่สันติ ฉลอง 75 ปีสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
นายวรทัศน์ ยังเสนอให้ใช้โอกาสปี 2568 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กัมพูชา เป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับคืนสู่ความสงบ สร้างบรรยากาศที่เกื้อหนุนต่อการลงทุนและการค้า
ทั้งนี้ไทยกับกัมพูชาคือเพื่อนบ้านที่แยกจากกันไม่ได้ ความสัมพันธ์ทางการทูตที่มีมา 75 ปี มีทั้งรักทั้งรบ แต่มาวันนี้ควรกลับมาเป็นของขวัญให้ประชาชนทั้งสองชาติด้วยความสงบ อย่าปล่อยให้ความเข้าใจผิดเล็ก ๆ ในโซเชียลบานปลายโดย การเหน็บแนมหรือโพสต์เชิงลบในโลกออนไลน์แม้จะดูเหมือนเล็กน้อย แต่สามารถกระทบความรู้สึกของคนทั้งสองประเทศ สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาลในระยะยาว ซึ่งควรระมัดและไตร่ตรองให้ดีก่อนโพสต์
  • บทบาทของสภาธุรกิจฯ ในการคลี่คลายวิกฤต
ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ระบุว่า ทางสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา และสภาธุรกิจกัมพูชา-ไทย ซึ่งเป็นภาคธุรกิจเอกชนของทั้งสองประเทศ ยังได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดเวทีเจรจาทางเศรษฐกิจ รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลภาคเอกชนต่อรัฐบาลของไทยและกัมพูชา เพื่อให้เห็นถึงผลกระทบเชิงประจักษ์ และเร่งฟื้นฟูบรรยากาศความเชื่อมั่น และช่วยลดความตึงเครียด
  • ลุ้นประชุม JBC จุดความหวังคลี่คลายวิกฤต
นอกจากความเคลื่อนไหวของภาคเอกชนแล้ว หลายฝ่ายยังจับตาไปที่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission: JBC)ที่จะมีการประชุมกันวันนี้ (14 มิ.ย. 68) ณ กรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นกลไกการเจรจาเชิงเทคนิคระหว่างสองประเทศในการแก้ไขปัญหาพรมแดน โดยเฉพาะจุดที่ยังมีข้อพิพาทค้างคา ซึ่งหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะหารือกันอย่างมีวุฒิภาวะตามกลไกทางการทูตและไม่ปล่อยให้สถานการณ์ลุกลามไปสู่ระดับที่ยากต่อการควบคุม
การประชุม JBC คืออีกความหวังที่จะช่วยคลี่คลายปัญหา และไม่ให้สถานการณ์ความขัดแย้งเกิดความรุนแรงหรือลุกลาม ถึงเวลาที่สองประเทศต้องใช้สติและกลไกทางการทูตที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อรักษาทั้งเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ และความสงบสุขของประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดนไว้ให้ได้
โฆษณา