16 มิ.ย. เวลา 12:30 • การเมือง

ชีวิตนักบิน F-16 สุดตื่นเต้น

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนที่ทุกท่านจะไปติดตามบทความใหม่จากผู้เขียน ขอให้ทุกท่านโปรดช่วยกันกดไลก์ กดแชร์ และกดติดตาม เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนในการทำบทความต่อไป
สำหรับท่านใดที่มีเรื่องน่าสนใจ สามารถทัก inbox ข้อความมาได้ที่ Facebook Supakrit Falcon ผู้เขียนจะได้นำเรื่องที่ท่านเสนอมาไปค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเตรียมนำเสนอในครั้งต่อไป
1
เดือนนี้เป็นที่ผู้เขียนกล่าวถึง F-16 บ่อยมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากข่าวที่เป็นกระเเสช่วงนี้โดยเฉพาะประเด็นไทย-กัมพูชา หรือแม้แต่มาจากความชอบส่วนตัวของผู้เขียนเองก็เป็นได้
สงคราม story วันนี้จะเป็นเรื่องราวของนักบิน F-16 ท่านหนึ่ง ที่ปัจจุบันท่านลาออกมาเล่นการเมือง ผู้เขียนขอไม่เล่าพาร์ทการเมือง ผู้เขียนจะขอเน้นไปที่ชีวิตการบินของบิน สำหรับการบินเป็นนักบินของท่านเรียกได้มีเรื่องเล่ามากมายที่มุกท่านไม่เคยรู้ ถ้าพร้อมแล้วขอเชิญพบกับ "นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี" ครับ
พ.ศ.2538 จังหวัดนครราชสีมาในวันที่ฟ้าสดใส ทุ่งนาสีเขียวขจีชาวนากำลังเก็บเกี่ยวข้าว ควายกำลังนอนเล่นที่ท้องนา ฝูงนกบินว่อนเต็มท้องฟ้า ส่วนใกล้ๆหมู่บ้านเล็กๆเด็กชายเด็กหญิงก็กำลังวิ่งเล่นไล่จับกัน
ขณะนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ "ฟ้าวววววว บู้มมมมมมมม!" พวกเขาไม่รู้ตัวว่ามีเสียงดังกระหึ่มจากไอพ่นแผ่คำรามราวกับเสียงฟ้าร้อง พวกเขาจึงเงยหน้ามองบนท้องฟ้าพบเครื่องบินขับไล่ F-16 2 เครื่องกำลังบินผ่านไปในความสูงราว 1,000 ฟุต แล้วก็เชิดหัวขึ้นราวกับจรวด หลังจากนั้นเครื่องบินที่เด็กเห็นก็ไม่บินกลับมาอีกเลย
ตัดภาพไปที่บนท้องฟ้า F-16 ทั้งสองเครื่องทาสีพรางเทามีหางสายฟ้าบ่งบอกว่ามาจากฝูงบิน 103 กำลังบินไปด้วยความเร็วประมาณเครื่องบืนพาณิชย์ หรือ 0.85 มัค บนเครื่องบินขับไล่ F-16 มีนักบินไทยทั้ง 2 นายกำลังเดินทางกลับจากการฝึก ขณะนี้พวกเขาใกล้จะถึงกองบิน 1 แล้ว
ที่กองบิน 1 โคราช บ้านหลังแรกของ F-16 เจ้าหน้าที่ควบคุมการบิน (ATC : Air Traffic Controller) ได้ติดต่อกับ F-16 ที่ใกล้จะ Landing ต่อมา F-16 ทั้ง 2 เครื่องก็ทำการแยกตัวออกเหนือสนามบินกองบิน 1 จากที่จะลงจอดกลับไม่ลงเพราะไม่มีการกางล้อ เครื่องบิน F-16 เครื่องแรกบินเข้ามาโฉบหอบังคับการบินราวกับในหนัง Top Gun ไม่มีผิด จากนั้นเครื่องที่ 2 ก็เลียนแบบตาม ก่อนจะร่อนลงจอดที่สนามบินอย่างปลอดภัย
ทันทีที่เครื่องจอด ก็มีชายคนหนึ่งเดินลงมาจากเครื่องบิน F-16 ท่านมีหน้าตาดี รูปหล่ออย่างกับดารา เท่สมชายชาติทหาร ท่านนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนท่านคือ นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี "Japan"
▶️ชีวิตปฐมบท
นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี (เกิด 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2507) ชื่อเล่น ปุ่น หรือชื่อที่รู้จักกันดีในนามผู้พันปุ่น ท่านเป็นบุตรของมานพ ทิวารี กับ หม่อมราชวงศ์จารุวรรณ ทิวารี (ราชสกุลเดิม: วรวรรณ) เป็นพระนัดดาของหม่อมเจ้าดุลภากร วรวรรณ พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมอินทร์
ความฝันในวัยเด็กของผู้พันปุ่น คือท่านมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักบิน ขณะประมาณ 6-7 ขวบ ท่านได้รับแรงบันดาลใจจากการได้ชมเครื่องบินโจมตี OV-10 จำนวน 5 เครื่องบินผ่านและปล่อยควันเป็นสีธงชาติในวันกองทัพไทย ซึ่งเหตุการณ์นั้นทำให้ท่านรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจมาก ความหลงใหลนี้ทำให้ท่านเริ่มซื้อเครื่องบินมาต่อเล่น
แม้ว่าท่านจะเป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง เมื่อจบจาก เตรียมอุดมศึกษา ท่านเลือกที่จะเบนเข็มทิศจากชีวิตพลเรือนเข้าสู่ชีวิตทหาร โดยเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 24 (ตท.24)
ท่านกล่าวถึงระบบโซตัสในโรงเรียนเตรียมทหารว่า "รุ่นพี่ที่เลวที่สุด ย่อมดีกว่ารุ่นน้องที่ดีที่สุด" ระบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อฝึกพลเรือนที่ไม่เคยปฏิบัติตามคำสั่งให้รับฟังคำสั่งนักเรียนเตรียมที่ทหารรุ่นพี่ ซึ่งระบบนี้ก็เหมาะสมกับอาชีพทหารที่ต้องสั่งคนไปตาย
ขณะเป็นนักเรียนเตรียมทหารผู้พันปุ่นเล่าว่าก็จะนักเรียนบางคนก่อวีรกรรม เช่น การโดดรั้วแอบออกไปเที่ยวกลางคืน พอรุ่นพี่มาเห็นจึงนำไปสู่การทำโทษหมู่โดยไม่มีปราณี
▶️เข้าสู่ชีวิตนักบิน
การคัดเลือกนักบินจะมีประมาณ 130-150 คนที่จบการศึกษา มีเพียงประมาณ 80-90 คนเท่านั้นที่จะได้เป็นนักบินกองทัพอากาศ สำหรับกระบวนการคัดเลือกนั้นเข้มงวดกว่าการตรวจนางงาม มีการตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจภายใน อวัยวะเพศ และริดสีดวงทวาร เพื่อประเมินผลกระทบจากแรง G-force สูง (เช่น แรง G ที่ 9 เท่าของน้ำหนักตัว) ที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายขณะทำการบิน
การเริ่มต้นการฝึกบินของผู้พันปุ่นเริ่มต้นกับเครื่องบินฝึกไอพ่นแบบ T-37 และต่อมาได้บิน
เครื่องบินฝึก T-33 ซึ่งได้รับฉายาว่า "สาก กะเบือบิน" เพราะรูปทรงเหมือนสากมีไม้บรรทัดสอดใต้ปีก และบินยากมาก มีคำกล่าวว่าหากบินเครื่องบิน T-33 ได้ ก็สามารถบินเครื่องบินได้ทุกเครื่องในโลก
ในชีวิตท่านจะมีครูการบินที่ฝึกนักบินทุกนายอย่างเข้มข้น ครูการบินมักจะใช้วิธีที่เรียกว่า "ปลาเค็ม 1 ที" หรือ "หมัดเดียวจอด" คือการต่อยหรือศอกนักเรียนเบาๆ ในสถานการณ์ที่คับขันก่อนจะคว้าคันบังคับเพื่อให้นักเรียนบังคับเครื่องบินต่อไป อีกทั้งเป็นการให้นักบินจดจำข้อผิดพลาดได้และจะไม่ทำซ้ำอีกต่อไป ผู้พันปุ่นเองก็เคยโดน และมองว่าเป็นวิธีที่ช่วยให้นักเรียนรักครูและจดจำบทเรียน ได้ดีที่สุด
แม้จะมีอาการเมารถเมาเรือในสมัยเด็ก ท่านไม่เคยเมาหรืออาเจียนขณะขับเครื่องบินเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อท่านรู้สึกจะอาเจียนขณะขับ CT-4 Chicken ครูฝึกสั่งให้ท่านถอดถุงมือเพื่อรองรับอาเจียนไปพลางๆ ทำให้ท่านหายเมาทันที หลังบินมานานนักบินก็จะมีนามเรียกขานหรือคอลซายน์ (Callsign) โดยจะใช้เมื่อต้องติดต่อในขณะทำการบินเพื่อป้องกันความสับระหว่างชื่อจริงกับชื่อเล่น สำหรับคอลซายน์ที่ท่านใช้คือ "เจแปน" (Japan) ซึ่งมาจากชื่อเล่น "ปุ่น"
สำหรับการปฏิบัติหน้าที่เป็นนักบิน F-16 จะท้าทายและตื่นเต้นขนาดไหน ผู้พันปุ่นเล่าว่าท่านบินเครื่องบินขับไล่ F-16 เป็นเวลา 10 ปี และเป็นเรืออากาศโทคนแรกของประเทศไทยที่ได้บิน F-16 เพราะช่วงมีรุ่นเดียวกันเป็นเรืออากาศเอก
การออกแบบ F-16 ท่านกล่าวว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อให้นักบินทนแรง G ได้มากขึ้น โดยที่นั่งจะเอน 30 องศา เพื่อลดระยะห่าง ระหว่างหัวใจกับสมอง ห้องนักบินจะเป็นแบบ "Bubble Canopy" ให้ทัศนวิสัย 360 องศาดีกว่าเครื่องบินแบบก่อนๆ
ทักษะนักบิน F-16 นั้นแน่นอนถ้าใครจะเป็นนักบิน F-16 ต้องมีความสามารถในการแยกประสาทและ ใช้มือทั้งสองข้างบังคับอุปกรณ์หลายอย่างพร้อมกันทั้งคันเร่ง คันบังคับ เรดาร์ และอาวุธต่างๆ โดยฝีมือการบังคับ F-16 นั้นผู้พันปุ่นเปรียบได้กับทักษะของมือกลองหรือการเล่นวิดีโอเกมเลยทีเดียว
เหตุการณ์สำคัญมีหลายเหตุการณ์ที่น่าจดจำ ครั้งหนึ่งเมื่อเครื่องบินขับไล่ F-16 เสียการทรงตัว (Out of Control) ในระหว่างการฝึกต่อสู้บนอากาศ (Dog Fight) มีการสื่อสารเข้าใจผิดเมื่อครูการบินเตือนว่า "ระวัง out of control นะ" แต่ผู้พันปุ่นเข้าใจว่า ให้ทำตามขั้นตอนเลย "out of control"
ทำให้ท่านต้องปล่อยคันบังคับและลดกำลังเครื่องยนต์ จากเครื่องบินที่บินได้สุดท้ายหวิดบินไม่ได้ เมื่อท่ารู้ว่าเครื่องบินกำลังตกลงมาอย่างรวดเร็วจากความสูงเกือบ 30,000 ฟุต ท่านก็สามารถประคองเครื่องบินกลับมาได้ที่ความสูงประมาณ
14,000-15,000 ฟุต โดยไม่เป็นอันตรายต่อตัวเอง
มีอยู่ 2 ครั้งที่จะต้อง Hot Alert (การบินสกัดกั้น) ท่านเล่าว่าท่านทำสถิติ Hot Alert มากที่สุดในประเทศไทยถึง 2 ครั้ง ด้วยเครื่องบินขับไล่ F-16
เที่ยวแรกเป็นเครื่องบินของ UN ที่เข้ามาส่งคนเจ็บจากการกู้ระเบิดในเขมร เครื่องบินแบบดังกล่าวไม่ได้แจ้งล่วงหน้า จึงมีการส่ง F-16 ทะยานขึ้นโดยด่วน เครื่องบินทั้งสองเครื่องเคลื่อนออกจากโรงเก็บอย่างช้าเพื่อเตรียมพร้อมบินขึ้น
โดยที่ปลายปีกและใต้ปีกของ F-16 จะมีจรวด Sindwinder 4 ลูก ใต้ท้องมีถังเชื้อเพลิงสำรอง 1 ถัง ขณะนี้เครื่องบินที่พร้อมสะกัดกั้นเพิ่มความเร็วและเชิดขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว นักบินทั้ง 2มีพี่หมู (ลาออกไปบินการบินไทย) และผู้พันปุ่น
พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะมีวันบินกลับหรือไม่ เพราะตั้งแต่ในขณะที่ทะยานขึ้นไป เรื่องส่วนตัวจะไม่มีทางคิด มีแต่จะต้องคิดเรื่องรบ ถ้าถูกยิงตกจะไม่เสียดายชีวิตเลยแม้แต่น้อย เมื่อ F-16 ทั้ง 2 เครื่องบินไปกลับพบว่าไม่ใช่เครื่องบินข้าศึก จึงโชคดีที่ไม่ต้องกดปุ่มยิงจรวด ภายหลังได้มีการเคลียร์ สถานการณ์และอนุญาตให้เครื่อง UN ลงจอดได้
ครั้งที่สองเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นเมื่อเครื่องบินโดยสาร Boeing 747 ของสายการบิน Cathay Pacific เครื่องหนึ่งได้บินล้ำเข้ามา ในเขตหวงห้ามทางทหาร เนื่องจากมีความขัดแย้งในการประสานงานระหว่างเรดาร์พลเรือนและทหาร ผู้พันปุ่นและพี่โจ เรืออากาศเอก วรเดช ศรัทธาทิพย์ "STORM" (เพื่อนของท่านที่ลาออกไปบินการบินไทย) ถูกสั่งให้ Hot Alert โดยทันที
เมื่อเข้าสกัดกั้นท่าน (ผู้พันปุ่น) ก็
ทำการโคลงปีกตามยุทธวิธีสากลเพื่อให้ Boring 747 ทำตาม แต่กัปตัน Boeing 747 กลับไม่ปฏิบัติตามและโวยวายผ่านวิทยุฉุกเฉิน ด่านักบิน F-16 ผู้พันปุ่นจึงทำการ "Cross Under" และ "Cross Over" โดยบินลอดใต้เครื่องบิน Boeing 747 และบินไปรอบๆ
เพื่อจดเลขเครื่องที่หางเพราะสมัยนั้นไม่มีไอแพดหรือสมาร์ทโฟนในการบันทึก ในขณะเดียวกันผู้โดยสารในเครื่องบินBoeing 747 ก็พากันถ่ายรูปท่าน หลังจากนั้นก็บินกลับเมื่อภารกิจเสร็จ แม้ว่ากัปตัน Boeing 747 Cathay Pacific จะยื่นเรื่องร้องเรียนผ่านช่องทางสากลว่านักบิน F-16 ไทยบินเล่นรอบเครื่องบิน
แต่กองทัพอากาศได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนนำโดยนาวาอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ์ (ยศในขณะนั้น) ผู้เป็นนักบิน F-16 รุ่นพี่และพบว่าผู้พันปุ่นปฏิบัติตามขั้นตอนทุกประการจึงรอดตัวไป
หลังจากขับ F-16 ท่านก็ลาออกมาเล่นการเมืองเพื่อประชาชนในปี 2543
▶️ความรู้ที่ได้จากการเป็นนักบิน F-16
1)เป็นคนมีตรรกะและการรับฟังเหตุผล:
ประสบการณ์การเป็นนักบินสอนให้ท่านรับฟังอย่างแท้จริง เพราะในฝูงบินขับไล่ไม่ว่าจะที่ใดในโลกผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์น้อยกว่าควรจะรับฟังความคิดเห็นจากนักบินรุ่นใหม่ ที่แม่นยำในตำราเนื่องจากความถูกต้องของข้อมูลมีความสำคัญต่อชีวิตของนักบินทุกนายในการรบ
2)เป็นคนมีความสมเหตุสมผลและการยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น: การทำงานในฐานะนักบิน F-16 หรืออาชีพใดก็แล้วแต่จำเป็นต้องมีการโต้แย้งและนำเสนอข้อมูลอย่างสมเหตุสมผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องวางแผนภารกิจรบ เช่น การคำนวณเชื้อเพลิง ระดับความสูงที่เหมาะสมเพื่อหลบหลีกเรดาร์ แม้แต่นักบินที่อาวุโสน้อยที่สุดในฝูงบินก็สามารถคัดค้านผู้ใหญ่ได้ หากมีข้อมูลที่ถูกต้องเพราะชีวิตของทุกคนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจทั้งนั้น
3)การยึดถือข้อสรุปของที่ประชุมเป็นหลัก: ประสบการณ์ดังกล่าวหล่อหลอมให้ท่านยึดมั่นในข้อสรุปของที่ประชุม ที่มาจากการรับฟังเหตุผลของผู้น้อยผู้ใหญ่และยอมรับเสียงส่วนใหญ่มากกว่าความคิดเห็นส่วนตัว
4)การบริหารที่โปร่งใสและตรงไปตรงมา: นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี เชื่อว่าหลักการเหล่านี้ สามารถนำมาใช้ในการเมืองและการ ประชุมบอร์ด เพื่อให้เกิดการบริหารคนที่ โปร่งใส มีความตรงไปตรงมา และมีความเที่ยงธรรมอย่างเเท้จริง
นี่คือชีวิตของสุดยอดนักบิน F-16 ที่เรียกว่าได้ทั้งสาระและความบันเทิง มีน้อยคนนักที่จะได้ทำในสิ่งที่ท่านทำ ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างด้านการบินที่เราควรยกยอและส่งเสริม ท่านคือ Maverick เมืองไทย แม้จะมีบางครั้งที่ถูกติเตียนจากผู้ใหญ่ แต่ท่านก็ยังคงนำสิ่งที่ผู้ใหญ่สอนไปสอนและบริหารคนในองค์กร รวมการพัฒนาบ้านเมืองในฐานะนักการเมืองสืบมา สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
Aom Narathip
ภคพล จันทร์สอน
Sakka Assadodorn
นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี
Nit Wittaya
matichon tv
Noppasin Poompo
เรียบเรียงบทความ : จ่าหวาน เกรียงไกร
โฆษณา