16 มิ.ย. เวลา 16:54 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Gundam: Requiem for Vengeance

Gundam: Requiem for Vengeance
ชัยชนะของผู้แพ้ ประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เขียนโดยผู้ชนะ
ตลอดระยะเวลากว่า 45 ปีที่แฟรนไชส์ Mobile Suit Gundam ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกในปี 1979 ซีรีส์นี้ไม่เคยหยุดพัฒนาและขยายตัว มันกลายเป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ที่มีภาคหลัก ภาคเสริม ภาคคู่ขนาน และเรื่องราวอีกมากมายกระจัดกระจายกันอยู่ในห้วงเวลานับศตวรรษของ "ศักราชอวกาศ"
จนในปัจจุบัน หากมีใครคนหนึ่งอยากจะเริ่มดูกันดั้ม ก็มักต้องเผชิญกับคำถามที่ค้างคาใจจะเริ่มจากตรงไหนดี ต้องดูภาคไหนก่อน แล้วจะเข้าใจเรื่องราวที่สลับซับซ้อนได้อย่างไร
นั่นเองที่ทำให้ Gundam: Requiem for Vengeance บน Netflix กลายเป็นเรื่องง่ายต่อการติดตาม  เพราะมันคือการเล่าเรื่องในจักรวาลกันดั้มที่ “ก้าวข้ามข้อจำกัด” เหล่านี้ได้อย่างน่าสนใจ โดยการเล่าเรื่องไม่ใช่ผ่านสายตาของพระเอกเด็กหนุ่มขับหุ่นรบเพื่อช่วยโลก หากแต่กลับใช้มุมมองของ “ฝ่ายผู้แพ้” ทหารของซีอ้อน (Zeon) ที่ประวัติศาสตร์บอกว่าเป็นผู้ร้ายของสงครามหนึ่งปี
แฟรนไชส์กันดั้มทั้งหมดมีรากฐานคือการมองหุ่นยนต์ไม่ใช่เป็นสิ่งวิเศษ แต่เป็นอาวุธสงคราม เป็นเครื่องมือทำลายล้างในมือมนุษย์ และภายใต้การทำสงครามนั้น สิ่งที่ถูกฉายออกมาเสมอคือความเจ็บปวดของมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหน
ในสงครามหนึ่งปีที่เป็นแกนกลางของจักรวาล Gundam สหพันธ์โลกต่อสู้กับซีอ้อน อาณานิคมอวกาศที่ประกาศเอกราช และใช้หุ่นรบขนาดยักษ์หรือ “โมบิลสูท” เป็นแกนหลักของการสู้รบ ชัยชนะของฝั่งโลกมักถูกเล่าผ่านตำนานของ “กันดั้ม” หุ่นสีขาวที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของฮีโร่ผู้พิทักษ์โลก ภาคต้นฉบับเล่าเรื่องผ่านอามุโร่ เรย์ เด็กหนุ่มธรรมดาที่กลายเป็นนักขับกันดั้มโดยบังเอิญ และต่อมากลายเป็นความหวังหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ
แต่ Requiem for Vengeance ฉีกแนวออกมาอย่างสิ้นเชิง มันพาเราไปสู่แนวรบยุโรปช่วงปลายสงครามหนึ่งปี  ที่ซึ่งกลุ่มทหารซีอ้อนนามว่า "หมาป่าแดง Red Wolf Squadron" นำโดยกัปตันหญิง “อิเรีย โซลารี” ต้องต่อสู้ในสนามรบที่โหดร้าย ท่านกลางป่าเขาและเมืองทีากลายเป็นซากอิฐ และความหวังมีเพียงเสี้ยวเดียวที่พอจะคว้าไว้ได้ คือหาทางลอดกลับคืนสู่ห้วงอวกาศให้ได้เพราะในขณะนั้นฝ่ายซีอ้อนของตนเองกำลังเพลี่ยงพล้ำถึงขั้นพ่ายแพ้
อิเรียไม่ใช่นักรบผู้ยิ่งใหญ่ หากแต่เป็นอดีตนักไวโอลินผู้สูญเสียครอบครัวในสงคราม และจำต้องจับปืนขึ้น เธอแบกความรู้สึกผิด ความแค้น และความกลัวไว้เต็มอก การปรากฏตัวของ “กันดั้ม” ในเรื่องนี้ จึงไม่ได้มาพร้อมแสงแห่งความหวัง แต่เป็นภาพของ “ปีศาจร้ายสีขาว” ในรูปของเครื่องจักรที่ก้าวย่างมาพร้อมเสียงคำรามของเครื่องยนต์ มันไม่ได้มีชื่อ มันไม่มีใบหน้า และมันไม่ต้องการคำอธิบาย มันทำลายหุ่นรบสังหารทหารซีอ้อนไปมากมาย กันดั้มคือยมทูตแห่งสนามรบ
นี่คือจุดที่ซีรีส์เรื่องนี้ทรงพลังอย่างแท้จริง เพราะมันเลือกเล่าฝั่งที่ “ไม่มีสิทธิ์เล่าเรื่องของตัวเอง” ซีรีส์กันดั้มตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา แม้จะมีภาคที่เห็นความคลุมเครือของทั้งสองฝ่าย แต่ก็ยังคงอยู่ในกรอบของการมีพระเอกและผู้ร้ายอยู่เสมอ ตลอดเวลาเนื้อหาในกันดั้มนี้ทำให้เราเชื่อว่าซีอ้อนคือตัวร้าย เพราะพวกเขาใช้ความรุนแรง เปิดสงคราม ทำลายเมือง ฆ่าคนนับพันล้าน และมีอุดมการณ์สุดโต่ง
แต่มุมที่ Requiem for Vengeance พาไปดูนั้นคือสมรภูมิเล็กๆ ของฝ่ายซีอ้อนที่สิ้นหวัง ซึ่งไม่ต่างจากทหารฝั่งโลก พวกเขาเหนื่อยล้า หวาดกลัว และก็แค่ต้องการรอดกลับไปเจอใครสักคนที่ยังรออยู่ที่บ้าน
การใช้มุมมองของซีอ้อนช่วยให้ Requiem for Vengeance ก้าวข้ามอุปสรรคดั้งเดิมของซีรีส์กันดั้ม คือการต้องรู้จักตัวละครหลักเก่า ๆ มากมาย หรือเข้าใจโครงสร้างสงครามที่ซับซ้อน เพราะเมื่อเล่าผ่าน “คนที่ไม่เคยมีบทในประวัติศาสตร์” เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นแฟนเก่า หรือผู้ชมหน้าใหม่ก็สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้ทันที และสัมผัสได้ถึงความจริงที่ไม่ต้องการบริบทอื่นใดรองรับ
และนี่คือหัวใจของเรื่อง ประวัติศาสตร์ถูกเขียนโดยผู้ชนะเสมอ ซีอ้อนแพ้สงคราม ดังนั้นพวกเขาจึงเป็น “ผู้ร้าย” แต่ถ้ามีคนฟังเสียงของพวกเขาบ้างล่ะ ถ้ามีใครสักคนถามว่าทำไมพวกเขาถึงจับปืน ทำไมถึงยอมตายบนสมรภูมิ และทำไมถึงยังศรัทธาในสิ่งที่โลกบอกว่าเลวร้าย เราจะพบว่าความจริงในสงครามนั้นไม่ได้ขาวดำ มันเต็มไปด้วยโคลน เลือด และความกลัว ในขณะที่ภาพของกันดั้มวีรบุรุษพิทักษ์โลกมันก็คือสัตว์ร้ายกระหายเลือดดีๆนี่เอง
Gundam: Requiem for Vengeance  จึงไม่ใช่แค่ภาคใหม่ในจักรวาลกันดั้ม แต่มันคือบททดลองสำคัญที่พยายามแกะป้าย “ผู้แพ้” ออกจากหน้าผากของซีอ้อน แล้วแทนที่ด้วยคำว่า “มนุษย์” มันอาจไม่ได้สมบูรณ์แบบ ตัวละครบางตัวอาจยังแบนไปบ้าง ตอนจบอาจเร่งเกินไป แต่การที่มันกล้าเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายตรงข้ามเล่าเรื่องอย่างจริงใจ เท่ากับเปิดกว้างให้จักรวาลนี้ขยายตัวไปได้ไม่หยุดหย่อน
ไม่ใช่ทุกคนที่มีสิทธิ์เขียนประวัติศาสตร์ แต่ครั้งนี้ ซีอ้อนได้เขียนหน้าของตัวเองแล้ว
เสียดายอยู่อย่างนึงตรงที่แม้จะสร้างขึ้นมาเป็นอนิเมชั่น 3D ที่สมจริงแต่ด้วยเนื้อเรื่องที่ดราม่าและสะเทือนอารมณ์แบบนี้ยังคิดเล่นๆว่าถ้าสร้างเป็นหนังคนแสดงมันน่าจะส่งต่ออารมณ์ได้สูงกว่านี้ แล้วก็อยากเห็นหนังกันดั้มคนแสดงสร้างขึ้นมาจริงๆสักที ได้ยินแต่ข่าวมาตลอด
8/10
โฆษณา