Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หลงไปในประวัติศาสตร์ by หมอเอ้ว ชัชพล
•
ติดตาม
24 มิ.ย. เวลา 12:01 • ประวัติศาสตร์
จักรพรรดิ์ vs พระสันตปาปา ความขัดแย้งที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ยุโรป ตอนที่ 2
อาวุธหนักของพระสันตะปาปาที่จะใช้กับจักรพรรดิเฮนรีที่ 4 ก็อิงมาจากความเชื่อนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 ประกาศ Excommunication หรือการขับจักรพรรดิเฮนรีที่ 4 ออกจากคริสตจักร
สำหรับหลายคนหรือคนยุคเราอาจจะนึกภาพไม่ออก แล้วมองว่าการขับออกจากศาสนามันก็แค่ห้ามเข้าไปทำบุญ หรือไม่ให้แวะไปโบสถ์วันอาทิตย์หรือเปล่า ฟังดูไม่น่ากลัวป่ะ ?
แต่สำหรับคนยุคกลางแล้ว การถูก Excommunication มันเทียบได้กับการประหารชีวิตทางจิตวิญญาณ
เมื่อคนที่ถูกขับออกจากศาสนจักรตายไปโดยที่ไม่มีศีลศักดิ์สิทธิ์ของคริสตจักรคุ้มครอง ก็จะต้องตกนรกชั่วนิรันดร์ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Eternal Damnation
และมันไม่ได้มีผลแค่ชีวิตหลังความตาย แต่ยังมีผลต่อชีวิตในสังคมตอนมีชีวิตอยู่ด้วย เพราะคนๆ นั้นจะเหมือนถูกตัดขาดจากสังคม คนอื่นๆ จะไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยว ไม่อยากค้าขายด้วย ไม่อยากพูดคุยด้วย หรือแม้แต่การเดินผ่านก็อาจจะไม่อยากสบตา เหมือนกับว่าคนคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่บนโลกมนุษย์อีกต่อไป
แล้วมันยังไม่จบแค่นั้น เพราะจักรพรรดิเฮนรีที่ 4 มีตำแหน่งเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิหรือกษัตริย์ยุคกลางกับประชาชน จะไม่ใช่แค่ผู้ปกครองหรือรัฐบาล แต่จะมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกว่านั้น คือ ประชาชนถือว่าเป็น Subject ของกษัตริย์ คือเป็นคนของกษัตริย์ ส่วนขุนนางและทหารต่างๆ ก็จะต้องมีการสาบานความจงรักภักดีที่เรียกว่า Oath of Loyalty ทำให้การคิดร้าย คิดไม่ซื่อ หรือการต่อต้านกษัตริย์หรือจักรพรรดิของตัวเอง เป็นบาปที่รุนแรง
ดังนั้นการที่จักรพรรดิโดน Excommunication จึงมีผลไปถึงประชาชนและขุนนางที่อยู่ภายใต้การดูแลของกษัตริย์หรือจักรพรรดิด้วย และอาจจะหมายถึงการต้องตกนรกชั่วนิรันดร์ด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 ก็เข้าใจเรื่องนี้ และนำแนวคิดนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยการมีคำสั่งให้ปลดปล่อย หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Absolution ขุนนาง ทหาร และประชาชนออกจากการปกครองของจักรพรรดิเฮนรีที่ 4 หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการบอกทุกคนในจักรวรรดิว่า พระเจ้าเฮนรีไม่ใช่จักรพรรดิของทุกคนอีกต่อไป และพวกคุณไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังเขาอีกแล้ว
1
มันจึงทำให้ความชอบธรรมของเฮนรีในฐานะของคนที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้าหรือ Divine Right ขาดหายไป ดังนั้นถ้ามีขุนนางที่คิดกบฏ ก็สามารถทำได้โดยไม่ผิดบาป และยังอาจถือว่ามีความชอบธรรมในการกบฏต่อจักรพรรดิด้วยซ้ำ
แต่พระเจ้าเฮนรีที่ 4 ก็ยังไม่ยอมแพ้ มีการเรียกประชุมและตัดสินใจ Counter-Excommunication พระสันตะปาปากลับ คือไม่ยอมรับในอำนาจของพระสันตะปาปา และประกาศว่า ฮิลเดอร์แบรนด์ (เรียกชื่อเดิมซะเลย) เป็นพระปลอม
คำถามก็คือว่า ในเวลานั้น บิชอปและผู้มีอำนาจทั้งหลาย จะเลือกเข้าข้างฝ่ายไหน ?
ใครที่มีอิทธิพลมากกว่ากัน ?
คำตอบไม่ต้องรอนาน เพราะเพียงแค่ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นก็เห็นได้ชัดว่า ขุนนาง ผู้ปกครอง และพระทั้งหลายในดินแดนของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ กลัวบาปจากทางคริสตจักรมากกว่า และก็เริ่มมีการรวมตัวกัน มีการแอบพบนัดพบเพื่อเจรจา และพูดถึงการแต่งตั้งจักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นมาแทนเฮนรีที่ 4
จักรพรรดิเฮนรีที่ 4 เมื่อเริ่มเห็นท่าทีก็ตระหนักได้ว่า เขาเดินเกมพลาด และถ้ายังฝืนต่อไป ทุกอย่างที่เขามี ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์ กองทัพ และสถาบันจักรพรรดิ ก็อาจจะพังทลายลง
เขาจึงตัดสินใจทำเรื่องที่ใครๆ ก็คงคิดว่าจะไม่เกิดขึ้น
ในฤดูหนาวอันโหดร้ายของต้นปี ค.ศ. 1077 จักรพรรดิเฮนรีที่ 4 ของ Holy Roman Empire ตัดสินใจที่จะเดินทางข้ามเทือกเขาแอลป์ พร้อมกับภรรยาและลูกชาย มุ่งหน้าไปยังปราสาทที่เมืองคาโนซซา (Canossa) ซึ่งเป็นที่พำนักชั่วคราวของพระสันตะปาปา
การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทางไปเยี่ยมเยียน ไม่ใช่ไปเจรจาต่อรองอย่างเท่าเทียม แต่มันคือ Walk of Shame หรือ การเดินทางแห่งความอัปยศ การเดินทางครั้งนั้นสำคัญถึงขนาดที่มีชื่อเรียกในปัจจุบันว่า The Walk to Canossa
ตามบันทึกที่บันทึกเอาไว้ได้เขียนว่า การเดินทางครั้งนั้นจักรพรรดิเฮนรีไม่ได้เดินทางแบบจักรพรรดิที่สวมใส่ชุดหรูหรา แต่ไปในชุดของนักบวชเก่าๆ ไม่สวมมงกุฎ เดินเท้าเปล่าข้ามหิมะ แล้วไปยืนรอที่หน้าปราสาทคาโนซซา เพื่อที่จะขอพบกับพระสันตะปาปา ซึ่งเขาต้องยืนรออยู่ถึง 3 วัน กว่าพระสันตะปาปาจะยอมให้เข้าพบ จากนั้นก็ต้องไปอ้อนวอนขอให้พระสันตะปาปาอภัยโทษให้
ลองนึกภาพดูนะครับ นี่คือจักรพรรดิที่ไม่กี่เดือนก่อนประกาศถอดถอนพระสันตะปาปา เรียกพระสันตะปาปาว่า พระปลอม แต่วันนี้กลับมายืนท่ามกลางหิมะในชุดนักบวช เพื่อขอโทษ
หลังจากปล่อยให้รออยู่สามวัน สุดท้ายพระสันตะปาปา ก็จำใจต้องยอมให้อภัย
ฟังมาถึงตรงนี้เหมือนพระสันตะปาปาจะชนะและเรื่องราวจบลงใช่ไหมครับ
คำตอบคือไม่ เพราะยุโรปยุคกลางก็เหมือนใน Game of Thrones สงครามมักจะไม่จบหลังจากการชนะศึกแค่ 1-2 ครั้ง
สงครามครั้งนี้ก็เช่นกัน
สาเหตุที่ผมใช้คำว่า "จำใจให้อภัย" เป็นเพราะพระสันตะปาปาก็รู้ดีว่า ถ้าไม่ให้อภัย ก็จะขัดกับหลักของศาสนาที่เปิดโอกาสให้ผู้สำนึกผิดกลับใจเสมอ แล้วเฮนรีเองก็จัดมาเต็มซะขนาดนั้น จะไม่ให้อภัยก็จะถูกครหาได้
แต่เมื่อให้อภัย ความได้เปรียบที่มีอยู่ก็แทบจะกลับไปเป็นศูนย์ เพราะเฮนรีก็จะกลับมามีอำนาจของจักรพรรติดังเดิม
และสุดท้าย เรื่องราวก็จะเป็นดังนั้น เฮนรีที่ 4 จะพลิกสถานการณ์ แล้วพระสันตะปาปาต้องจบชีวิตขณะถูกเนรเทศ ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไร เราไปคุยกันต่อในตอนหน้าซึ่งเป็นตอนจบนะครับ
ส่วนท้ายนี้ขอโฆษณาหนังสือหน่อยนะครับ ถ้าใครชอบเรื่องราวแนวความรู้แบบ นี้ อยากแนะนำให้อ่าน หนังสือที่ผมเขียนด้วย ปัจจุบันเขียนมาแล้ว 9 เล่ม สั่งซื้อหนังสือแบบร้านค้า official พิมพ์ค้นหา "Chatchapolbook" หรือกดที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
1
🧡 Shopee :
https://bit.ly/3Qwa9E7
💜 Lazada :
https://bit.ly/46JcT7X
💚 Line My Shop :
https://bit.ly/3FvsFav
14 บันทึก
22
5
14
22
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย