25 มิ.ย. เวลา 12:01 • ประวัติศาสตร์

จักรพรรดิ์ vs พระสันตะปาปา ความขัดแย้งที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ยุโรป ตอนที่ 3

การที่เฮนรีที่ 4 เดินทางไปขออภัยโทษที่ Canossa เหมือนเป็นการยอมแพ้อย่างสิโรราบ แต่ในอีกมุมหนึ่งมันอาจจะมองได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาด เพราะเขารู้ดีว่าหากยังฝืน ขุนนางเยอรมันอาจจะแต่งตั้งจักรพรรดิใหม่ขึ้นมาแทนภายในไม่กี่เดือน
การไป Canossa ในสภาพที่ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง จึงเหมือนเป็นการเล่นไพ่ใบสุดท้าย แล้วใช้หลักการของศาสนาคริสต์มาต่อกรกับพระสันตะปาปา
1
คือ เมื่อคนบาปสำนึกผิดและขออภัยอย่างจริงใจ ชาวคริสต์ควรจะให้อภัย แล้วระดับพระสันตะปาปาผู้เป็นผู้นำของศาสนาจะปฏิเสธได้ยังไง ไม่เพียงเท่านั้น ในบันทึกของพระสันตะปาปา ยังเขียนในบันทึกว่า ผู้คนรอบข้างพระองค์หลายคนมาขอร้องพระองค์ด้วยน้ำตาและบางคนสงสัยในความใจแข็งของพระสันตะปาปา
พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วต้องให้อภัยเฮนรีที่ 4 ซึ่งก็จะหมายความว่าเฮนรีจะได้กลับมาเป็นจักรพรรดิปกครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อย่างชอบธรรมอีกครั้ง
หลังจากได้รับการอภัยโทษและกลับไปยังเยอรมนี เฮนรีที่ 4 ก็แสดงให้ได้เห็นว่าการไปคาโนซซาเป็นเพียงกลยุทธ์เพื่อแก้เกมชั่วคราวจริงๆ ไม่ใช่การยอมรับผิดและยอมแพ้ต่อพระสันตะปาปา เพราะเฮนรีตอนนี้รู้แล้วว่า ขุนนางคนไหนบ้างที่ภักดี (หรือมีผลประโยชน์ไปทางเดียวกัน) และขุนนางคนไหนที่ออกตัวว่าเข้าข้างพระสันตะปาปา จากนั้นก็เริ่มรวบรวมกำลังของขุนนางและนักบวชฝั่งตัวเอง และพยายามกำจัดขุนนางและนักบวชที่เป็นศัตรู
จากนั้นก็เริ่มสงครามข่าวสาร ด้วยการปล่อยข่าวแนว propaganda ว่า เขาได้รับตำแหน่งจักรพรรดิคืน ไม่ใช่จากทางพระสันตะปาปา แต่พระองค์ต้องคืนให้เพราะเป็น divine right หรือสิทธิ์อันชอบธรรมที่พระองค์ได้มาจากพระเจ้าโดยตรง (ไม่ได้ผ่านพระสันตะปาปา) เขาวางตัวเองให้เหมือนเป็นผู้ปกป้องศาสนาอย่างสันติ ขณะที่พระสันตะปาปาเป็นคนที่สร้างความแตกแยก
เขาบิดเบือนเหตุการณ์จากการเดินทางไปขอโทษ เป็นการแสดงให้เห็นถึงน้ำใจอันยิ่งใหญ่และอดทน และเปิดโอกาสให้พระสันตะปาปาได้สำนึกผิด แล้วก็แสดงออกว่า อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยมีท่าทีว่าจะปล่อยให้การแต่งตั้งบิชอปมาจากทางพระสันตะปาปา
ทางฝั่งของขุนนางชาวเยอรมันที่เคยวืด ออกตัวแรงและกลายเป็นฝ่ายต่อต้านจักรพรรดิไปแล้ว ก็ต้องรวมตัวกันที่เมือง Forchheim ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1077 แล้วแต่งตั้ง Anti-King ขึ้นมาแล้วประกาศว่าเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แทนเฮนรีที่ 4 ที่เสียสิทธิ์อันชอบธรรมไปแล้ว
คำถามคือ พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 จะเข้าข้างฝ่ายไหน ?
คำตอบเดาได้ไม่ยากใช่ครับว่าใจของพระองค์อยากจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่ก็ไม่สามารถสนับสนุนฝ่าย Anti-King ได้อย่างออกหน้าออกตา เพราะจะกลายเป็นผู้ทำลายสันติภาพที่พระองค์เพิ่งสร้างขึ้น แต่ถ้าไม่สนับสนุน ก็จะผิดใจกับขุนนางที่เป็นพันธมิตรในเยอรมนี สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะรอดูไปก่อน โดยไม่เข้าข้างฝ่ายไหน แล้วปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของพระเจ้าว่าจะเข้าข้างใคร แต่ลับๆ ก็แอบส่งการสนับสนุนให้กับฝ่าย Anti-King
อย่างไรก็ตาม ฝ่าย Anti-King ก็สู้ไม่ไหว จนในปี ค.ศ. 1080 พระสันตะปาปาก็ถูกบีบให้ต้องช่วยฝ่าย Anti-King อย่างเต็มตัว โดยประกาศ excommunicate เฮนรีที่ 4 อีกครั้งและหวังว่าจะพลิกสถานการณ์ได้
แต่ความเขี้ยวของเฮนรีจากประสบการณ์ที่ต้องขึ้นมาปกครองตั้งแต่อายุแค่ 6 ขวบ ก็ทำให้ไม่มีใครต้านเขาได้ ในที่สุด Anti-King ก็เสียชีวิตลงจากการบาดเจ็บขณะออกรบ หลังจากนั้นฝ่าย Anti-King ก็ระส่ำระสายจนต้องพ่ายแพ้ไป
เมื่อชนะการรบ เฮนรีก็รุกต่อ ด้วยการเรียกประชุมบิชอปที่สนับสนุนเขาที่เมือง Brixen แล้วแต่งตั้งพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ขึ้นมามีชื่อ Clement III พร้อมกับประกาศว่าเกรกอรีเป็น "pseudopope" หรือพระสันตะปาปาปลอม
อีกไม่กี่ปีถัดมา เฮนรีที่ 4 ก็ยกกองทัพไปบุกกรุงโรม และสามารถยึดกรุงโรมได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทำให้พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 ต้องหลบหนีไปที่อื่น และสุดท้ายก็เสียชีวิตระหว่างลี้ภัย
เมื่อยึดกรุงโรมได้ เฮนรีที่ 4 ก็จัดให้มีพิธีสวมมงกุฎให้กับ Clement III แต่ด้วยความที่ปัจจุบันเราถือว่า Clement III คนนี้ไม่ใช่พระสันตะปาปาที่แท้จริง จึงเรียกว่า Anti-Pope Clement III (แต่ภายหลังมีพระสันตะปาปาที่แท้จริงซึ่งมีพระนามซ้ำกันว่า Clement III ด้วย เป็นคนละคนกันครับ)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเฮนรีที่ 4 จะชนะในระยะสั้น แต่ความขัดแย้งว่าใครจะเป็นคนแต่งตั้งบิชอป ก็ไม่ได้สิ้นสุดลงซะทีเดียว ยังมีการแย่งชิงต่อกันไปอีกจนถึงยุคสมัยของเฮนรีที่ 5 (ลูกชายของเฮนรีที่ 4) และสุดท้ายก็จบลงด้วยการประนีประนอมใน Concordat of Worms ปี ค.ศ. 1122
ก็มาถึงคำถามสุดท้ายว่า เหตุการณ์ครั้งนี้สำคัญอย่างไร ?
ปัจจุบันนี้เราถือกันว่า เหตุการณ์ Investiture Controversy นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจครั้งใหญ่ในยุโรปยุคกลาง และนำไปสู่แนวคิดที่ว่า อำนาจรัฐและศาสนาควรจะแยกออกจากกัน หรือที่เรียกว่าเป็นรัฐแบบ secular state
และแนวคิดนี้ก็ทำให้เราเห็นว่า ประเทศตะวันตกหลายประเทศแม้ว่าประชากรส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ แต่จะไม่มีการกำหนดให้ศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ และยิ่งไปกว่านั้นคำสอนหรือหลักปฏิบัติทางศาสนาก็จะไม่ถูกนำเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย ในทางตรงกันข้ามประเทศที่ประชาชนจำนวนมากนับถือศาสนาอิสลาม กฎหมาย การเมืองและการปกครองจะมีส่วนที่อิงหรือเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างมาก
แนวคิดที่ว่า ควรจะแยกรัฐและศาสนาออกจากกันนั้น ไม่ใช่เพราะสองสิ่งนี้เป็นศัตรูกันแบบที่เราเห็นในเหตุการณ์ Investiture Controversy แต่เป็นเพราะชาวตะวันตกได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่า สองสิ่งนี้เคยถูกใช้เกื้อหนุนกันมาโดยตลอด และเมื่อใดที่ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือการเมืองเข้าไปควบคุมศรัทธา สิ่งที่จะถูกทำให้หายไปจากประชาชนในชาติ คือ
เสรีภาพในการนับถือศาสนา และเสรีภาพของความคิดเกี่ยวกับการเมือง
ส่วนท้ายนี้ขอโฆษณาหนังสือหน่อยนะครับ ถ้าใครชอบเรื่องราวแนวความรู้แบบ นี้ อยากแนะนำให้อ่าน หนังสือที่ผมเขียนด้วย ปัจจุบันเขียนมาแล้ว 9 เล่ม สั่งซื้อหนังสือแบบร้านค้า official พิมพ์ค้นหา "Chatchapolbook" หรือกดที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
💚 Line My Shop : https://bit.ly/3FvsFav
โฆษณา