19 มิ.ย. เวลา 22:55 • ปรัชญา

ความเหมือนในความต่าง: ห่ากูล โตเกียว และ ห่าก่อม

จงกินอย่างมีเหตุผล เพื่อให้ร่างกายรับใช้จิตวิญญาณ ไม่ใช่ให้จิตวิญญาณตกเป็นทาสของร่างกาย
DreamDemo
ในโลกของตำนานและวรรณกรรมสยองขวัญ มีสิ่งมีชีวิตบางประเภทที่แม้จะมาจากคนละซีกโลกและวัฒนธรรม แต่ก็มีแก่นแท้บางอย่างที่เชื่อมโยงกัน นั่นคือ "ความหิวโหย" และ "การดำรงอยู่เหนือเส้นแบ่งของความเป็นมนุษย์" ลองมาสำรวจความเหมือนและความต่างระหว่าง "กูล" (Ghoul) จากตำนานตะวันออกกลางและโลกตะวันตก รวมถึง "โตเกียวกูล" (Tokyo Ghoul) ในฐานะตัวละครยุคใหม่ และ "ห่าก่อม" ผีพื้นบ้านของไทย
ปอบ คืออะไร
ถึงแม้ชื่อเรียกและรายละเอียดของ "ผีปอบ" จะแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันที่น่าสนใจอยู่หลายประการ โดยเฉพาะในแง่ของพฤติกรรม ต้นกำเนิด และบทบาทในสังคม:
1
พฤติกรรมหลัก
* กินอวัยวะภายใน/ดูดพลังชีวิต: นี่คือคุณสมบัติเด่นที่เห็นได้ชัดที่สุดของผีปอบและสิ่งมีชีวิตคล้ายกันในวัฒนธรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการกินตับ ไต ไส้ พุง (เช่น ปอบ ของไทย), การดูดเลือด (เช่น เพนังกาลัง ของมาเลเซีย, มันนานังกา ของฟิลิปปินส์), หรือแม้แต่การกินเนื้อคน (เช่น เวนดิโก ของชนพื้นเมืองอเมริกัน, กูล ของตะวันออกกลาง)
1
* ออกหากินเวลากลางคืน: สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มักจะออกหากินหรือแสดงพฤติกรรมที่น่ากลัวในยามวิกาล ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนอ่อนแอและหวาดกลัวที่สุด
1
* แปลงร่างได้: หลายความเชื่อระบุว่าผีปอบหรือสิ่งมีชีวิตคล้ายกันสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ (เช่น ปอบหมาดำ) หรือเป็นคนเพื่อหลอกล่อเหยื่อได้ ความสามารถในการแปลงกายนี้เพิ่มความน่ากลัวและความซับซ้อนให้กับตำนาน
* ไม่สามารถควบคุมความหิวได้: ผีเหล่านี้มักมีความหิวโหยที่ไม่รู้จักพอ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของความโลภหรือบาปที่ก่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น
ต้นกำเนิด
* เกิดจากวิชาอาคม/ไสยศาสตร์: จุดร่วมสำคัญคือผีเหล่านี้มักมีต้นกำเนิดมาจากการที่คนไปยุ่งเกี่ยวกับวิชาอาคม คุณไสย มนต์ดำ แต่ควบคุมไม่ได้ ทำผิดข้อห้าม หรือใช้ในทางที่ผิด ทำให้ของเข้าตัวและกลายเป็นผีร้าย
* การละเมิดกฎธรรมชาติ/ศีลธรรม: ไม่ว่าจะเป็นการทำผิดศีล การกินเนื้อคน หรือการไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหล่านี้มักเป็นสาเหตุที่ทำให้บุคคลกลายร่างเป็นผีร้ายที่ทำอันตรายผู้อื่น
บทบาททางสังคมและจิตวิทยา
* เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม: ความเชื่อเรื่องผีปอบและสิ่งมีชีวิตคล้ายกันมักถูกใช้เพื่อเป็นกุศโลบายในการสอนให้คนทำความดี รักษาศีลธรรม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งชั่วร้าย และไม่ทำตัวแตกต่างจากผู้อื่นมากนัก
* อธิบายเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ: เมื่อเกิดการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน การเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝัน หรือเหตุการณ์ร้ายแรงที่หาคำอธิบายไม่ได้ในชุมชน ความเชื่อเหล่านี้มักถูกนำมาใช้เป็นคำตอบเพื่อลดความไม่เข้าใจและความหวาดกลัว
* การหาแพะรับบาป: ในบางกรณี ความเชื่อเรื่องผีปอบอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกล่าวหาผู้อื่นเมื่อเกิดความขัดแย้ง ความอิจฉา หรือการไม่ยอมรับในชุมชน ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องกลายเป็น "แพะรับบาป"
กล่าวโดยสรุป ผีปอบและสิ่งมีชีวิตคล้ายกันในวัฒนธรรมต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวพื้นฐานของมนุษย์ต่อสิ่งลึกลับ ความตาย และผลกรรมจากการกระทำผิดศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่สากลและปรากฏอยู่ในความเชื่อของผู้คนทั่วโลก
"นักล่า" และ "ผู้กิน"
ไม่ว่าจะเป็นกูลในตำนาน, กูลในโตเกียวกูล หรือห่าก่อมของไทย สิ่งเหล่านี้ล้วนมีความเหมือนกันในบทบาทหลัก นั่นคือการเป็น "ผู้บริโภค" หรือ "นักล่า" ที่กินสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่กิน และมักจะเกี่ยวข้องกับ ความตาย หรือ ความเสื่อมโทรม
* การกินเนื้อ: กูลในตำนานกินซากศพ กูลในโตเกียวกูลกินเนื้อมนุษย์ที่ยังมีชีวิต ส่วนห่าก่อม (ปอบ) ก็กินเครื่องในของคนหรือสัตว์ สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงการอยู่รอดที่ต้องพึ่งพาสิ่งที่สังคมมนุษย์รังเกียจหรือหวาดกลัว
* การแฝงตัว: สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มักไม่ได้ปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้งในตอนแรก กูลสามารถแปลงร่างได้ กูลในโตเกียวกูลมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ และปอบก็เข้าสิงร่างคน ทำให้ยากที่จะแยกแยะและก่อให้เกิดความหวาดระแวงในหมู่มนุษย์
บริบทและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน
แม้จะมีแก่นที่เหมือนกัน แต่บริบทและลักษณะเฉพาะของแต่ละประเภทก็สะท้อนถึงวัฒนธรรมและแนวคิดของผู้สร้างสรรค์เรื่องราว:
1. กูล (Ghoul) ในตำนานดั้งเดิม
* ที่มา: เป็นสิ่งมีชีวิตปีศาจหรือญิน (Jinn) จากตำนานอาหรับ ไม่ได้มีที่มาทางวิทยาศาสตร์
* ลักษณะ: มักมีรูปร่างอัปลักษณ์ น่าเกลียดน่ากลัว หรือสามารถแปลงร่างได้ เป็นตัวแทนของความชั่วร้ายและสิ่งเหนือธรรมชาติ
* พฤติกรรม: อาศัยในสุสาน กินซากศพ หรือล่อลวงคนไปกินโดยตรง มักเป็นภัยคุกคามจากโลกวิญญาณ
* นัยยะ: สะท้อน ความหวาดกลัวต่อโรคระบาด ความเจ็บป่วยที่อธิบายไม่ได้ การผิดครู/ผิดข้อห้ามทางไสยศาสตร์ และความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ การเป็นปอบเป็นเหมือนคำสาปหรือผลกรรมจากการกระทำที่ไม่ดี
ความเหมือนในบริบททางสังคมและปรัชญา
แม้ต้นกำเนิดและลักษณะเฉพาะจะต่างกัน แต่ทั้งสามประเภทก็ล้วนเป็นตัวแทนของความกลัวและคำถามทางปรัชญาที่คล้ายคลึงกัน:
* ความกลัวต่อ "คนอื่น": ทั้งกูลและปอบต่างเป็น "คนนอก" ที่สังคมหวาดกลัวและไม่เข้าใจ พวกมันสะท้อนความไม่ไว้วางใจต่อสิ่งที่แตกต่างหรือสิ่งที่แฝงตัวอยู่
* เส้นแบ่งความเป็นมนุษย์: การมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ท้าทายแนวคิดว่าอะไรคือมนุษย์ที่แท้จริง กูลในโตเกียวกูลที่พยายามใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ หรือมนุษย์ที่กระทำการโหดร้ายยิ่งกว่าปีศาจ ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า "ความเป็นมนุษย์" อยู่ที่ร่างกายหรือจิตใจ?
* การเอาชีวิตรอดที่โหดร้าย: การกินเนื้อคนหรือเครื่องในสะท้อนถึงการอยู่รอดที่ต้องแลกมาด้วยความโหดร้าย และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ในสังคมปกติ
* ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ/สิ่งเหนือธรรมชาติ: กูลในตำนานและปอบสะท้อนความกลัวต่อพลังเหนือธรรมชาติที่อยู่เหนือการควบคุม ส่วนกูลในโตเกียวกูลก็สะท้อนความซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตที่
วิวัฒนาการมาพร้อมกันแต่กลับไม่เข้าใจกัน
สรุปแล้ว "กูล" ในตำนาน, "กูล" ในโตเกียวกูล และ "ห่าก่อม" ต่างเป็นภาพสะท้อนของความกลัวพื้นฐานของมนุษย์ต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก ความตาย และความโหดร้ายที่ซ่อนอยู่ในเงามืด แต่ละเรื่องราวก็ถูกถักทอขึ้นมาด้วยเส้นใยของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดเป็นมิติที่หลากหลายและน่าสนใจในโลกของตำนานและเรื่องเล่าสยองขวัญครับ
เเล้วคุณล่ะคิดเห็นอย่างไร กับเรื่องของปอบในเเต่ละวัฒนธรรม
อย่าลืมกดติดตาม เพื่อไม่พลาดการอัพเดทข้อมูล ขอบคุณครับ
โฆษณา