20 มิ.ย. เวลา 06:45 • ปรัชญา

watthakhanun

เมื่อถึงเวลาท่านเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมบัณฑิต, ศ.,ดร. ก็มาเป็นประธานในการประชุม โดยที่ค่อย ๆ ซักถามผู้รับผิดชอบแต่ละฝ่าย โดยที่กระผม/อาตมภาพนั้นร่วมประชุมจนถึง ๑๐ โมงเช้าเท่านั้น ก็กราบขออนุญาตกลับสู่ที่พัก เพื่อเตรียมตัวที่จะ
เดินทางไปยังประเทศจีน โดยครั้งนี้ เจ้าภาพก็คือน้องจูน (คุณอมรรัตน์ ลาภพิทักษ์พงษ์) มอบค่าทัวร์ให้สำหรับอาตมาและผู้ติดตามด้วย โดยที่ครั้งนี้ กระผม/อาตมภาพให้พี่มุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) พี่สาวคนติดกัน ซึ่งมาอยู่วัดท่าขนุนเกิน ๑๐ ปีแล้ว ให้ไปในฐานะผู้ติดตาม เมื่อฉันเพลเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็จัดของลงกระเป๋า
สำหรับพรรคพวกเพื่อนฝูง ตลอดจนกระทั่งญาติโยม เห็นกระผม/อาตมภาพจัดของลงกระเป๋าทีไรก็ทำท่าจะร้องไห้ เนื่องเพราะว่าข้าวของที่เอาไปนั้นมีน้อยมาก มีเฉพาะของที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้น..จึงมักจะมีกระเป๋าขึ้นเครื่องเพียงใบเดียว น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ ๔ - ๕ กิโลกรัม ถ้าหากว่างานไหนนำเอาโน้ตบุ๊กไปทำงานด้วย น้ำหนักก็จะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน ๘ กิโลกรัม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงมักจะต้องเฉลี่ยน้ำหนักของตนทั้งหมด ให้กับทางคณะทัวร์ ที่จะต้องขนข้าวของโดยเฉพาะอาหารไทยติดไป เพื่อที่จะได้บริการลูกทัวร์
ตัวกระผม/อาตมภาพเองนั้น ไปที่ไหนก็ฉันอาหารในพื้นที่ โดยเฉพาะครั้งนี้เป้าหมายก็คือมณฑลกานซู่ และมณฑลซินเจียงของประเทศจีน ซึ่งแถวนั้นอาหารหลักก็มักจะเป็นเนื้อแพะเนื้อแกะที่กระผม/อาตมภาพเองไม่ได้รังเกียจอะไร มาอย่างไรก็ฉันไปอย่างนั้น แต่สำหรับคนที่ไปติว่าเนื้อแพะเนื้อแกะมีกลิ่นสาบ กระผม/อาตมภาพเองก็ยังขำ ๆ เนื่องเพราะว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดก็มีกลิ่น เพียงแต่ว่าเราเคยชินกับกลิ่นนั้น ๆ ก็เลยกินได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ถ้าหากว่าไปเจอเนื้อสัตว์ที่ไม่เคยชิน ก็มักจะตำหนิว่ามีกลิ่นสาบ
กระผม/อาตมภาพตั้งแต่เด็กก็กินมาสารพัด ทั้งกระต่าย ชะมด อีเห็น เสือปลา ค้างคาว งู ตลอดจนกระทั่งปลาต่าง ๆ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือ ในสมัยนั้นทางบ้านค่อนข้างจะยากจนมาก ต้องหาใส่ปากใส่ท้องให้พออิ่ม เนื่องเพราะว่าพ่อแม่ไม่มีเวลามาดูแล วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือล่าสัตว์กินเอง..! จึงสามารถที่จะกินได้สารพัดอย่าง ชนิดที่บางคนเกิดมาก็ไม่เคยกินเสียด้วยซ้ำไป แล้วตอนยุคนั้น สัตว์หลายอย่างนี้ก็ยังไม่ได้ขึ้นบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง จึงไม่ได้เดือดร้อนในการที่จะล่า
เมื่อกินไปสารพัดจนกระทั่งจำกลิ่นได้ ถ้าเนื้อสัตว์ชนิดนี้เข้าปากก็จะบอกได้เลยว่าเป็นเนื้ออะไร ยกเว้นอยู่ครั้งเดียวที่โดนคุณตาหลอกให้กินเนื้อหมาไปเต็ม ๆ..! โดยที่ท่านบอกว่าเป็นเนื้อเก้ง เนื่องจากว่าไม่เคยกินเก้งมาก่อน แล้วท่านก็ทำเป็นเนื้อหมาพะโล้อย่างดี โดยบอกว่ากินเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เพราะว่าใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ฟาดไปเสียเต็มคราบ มารู้ทีหลังว่ากินเพื่อนที่ซื่อสัตว์ที่สุดไปเสียแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้
โดยเฉพาะเนื้อวัวนั้น ทางบ้านนับถือเจ้าแม่กวนอิมจึงไม่กินเนื้อวัว กระผม/อาตมภาพไปรู้จักการกินเนื้อวัวเนื้อควาย ก็ตอนที่ไปเรียนหนังสือ แล้วก็ไปนั่งล้อมวงกินข้าวร่วมกับเพื่อน ๆ ที่ติดเอาปิ่นโตมาจากทางบ้าน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเนื้อเค็มทอด กระผม/อาตมภาพมักจะมีแต่ไข่ดาวเท่านั้น เพราะว่ากับข้าวอย่างอื่นหายาก วิธีง่ายที่สุดก็คือทอดไข่ไป พรรคพวกเพื่อนฝูงก็แบ่งกับข้าวมาให้
กินไปครั้งแรกก็ยังสงสัยว่าเนื้ออะไร กลิ่นเหมือนกันนมไม่มีผิด..! มารู้ทีหลังว่าเป็นเนื้อวัว รู้สึกผิดมาก เหมือนอย่างกับทำผิดศีลในสมัยนี้ จนกระทั่งมาทำใจได้ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราขาดเจตนาในการละเมิด ในเมื่อละเมิดไปแล้วก็อย่าทำให้ตนเองต้องมาเศร้าเสียใจ จิตใจเศร้าหมองอยู่แบบนั้น แต่ว่าให้ตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวัง อย่าไปละเมิดในลักษณะแบบนี้อีกก็แล้วกัน.
จนกระทั่งมาฝึกกรรมฐานกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้สอนในเรื่องอาหาเรปฏิกูลสัญญา จึงปรับตัวเองให้กินทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยที่ไม่ได้สนใจอะไร เพราะว่าเมื่อลงไปแล้ว ท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสิ่งปฏิกูลออกมาเหมือนกันหมด เมื่อทำใจได้แล้ว ต่อให้อาหารนั้นกลืนยากขนาดไหน ก็ยังฉันลงไปได้อยู่ดี จึงไม่ได้ลำบากเดือดร้อนกับเรื่องที่ต้องคอยหาอาหารไทย
แต่กลายเป็นว่าเดินทางไปต่างประเทศเมื่อไร ก็ต้องเฉลี่ยน้ำหนักให้กับทางคณะทัวร์ ที่แบกอาหารไทยไปให้กับคณะของตนเอง โดยที่กระผม/อาตมภาพเอง บางทีก็ต้องนำเอาเอกสารไปขอรับกระเป๋า ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ของตนเอง เพราะว่าฝากกระเป๋าไปในนามของพระครูวิลาศกาญจนธรรม จึงทำให้บางคนอาจจะเข้าใจว่า กระผม/อาตมภาพไปไหนก็ขนข้าวของไปเยอะแยะ แต่ความจริงเป็นการรับฝากจากคนอื่นแทบทั้งนั้น
ตอนนี้กระผม/อาตมภาพอยู่ที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ กำลังรอความพร้อมของคณะที่จะเดินทางไปด้วยกัน เมื่อมาพร้อมแล้วก็จะได้ทำการเช็คอิน เพื่อไปรอขึ้นเครื่องทางด้านใน จึงได้ทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเอาไว้ก่อน เผื่อว่าถ้าหากว่าไม่สามารถบันทึกได้ ก็จะได้มีให้ทุกท่านได้ฟัง
ในการเดินทางครั้งนี้ยังไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถบันทึกเสียงได้ตลอดทางหรือเปล่า ? เนื่องเพราะว่ามณฑลซินเจียงนั้นใหญ่กว่าประเทศไทย ๗ - ๘ เท่า มณฑลกานซู่ก็เล็กกว่าไม่เท่าไร ต้องเดินทางข้ามถึง ๒ มณฑล อาจจะเท่ากับเดินทางข้ามประเทศกันเลยทีเดียว จึงต้องระมัดระวังเอาไว้ว่า ตนเองร่างกายจะไหวหรือไม่ ? จะมีโอกาสบันทึกเสียงหรือไม่ ?
ถ้าหากว่ามีก็จะพยายามบันทึกเอาไว้ทุกวัน เพื่อเป็นหลักฐานให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่าหลวงพ่อไปผจญภัยแล้วเจออะไรมาบ้าง โดยเฉพาะงานนี้เป็นสถานที่ใหม่ ยังไม่เคยไปมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าเจ้าที่เจ้าทางผู้รับผิดชอบคือใคร ก็คงจะไปรู้กันตอนหน้างานนั่นเอง
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘
โฆษณา