Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สงคราม story
•
ติดตาม
21 มิ.ย. เวลา 01:42 • การเมือง
อดีต ปัจจุบัน อนาคตของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนที่จะไปอ่านบทความนี้ ผู้เขียนขอให้ทุกท่านโปรดช่วยกดไลก์ กดติดตาม และกดอชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนในการทำบทความต่อๆไป
สำหรับท่านใดที่มีเรื่องใดน่าสนใจ ท่านสามารถส่ง inbox ข้อความมาได้ที่ Facebook Supakrit Falcon หากเรื่องใดโดนใจผู้เขียนจะนำเรื่องราวไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเตรียมการเสนอครั้งต่อไป
วันนี้จะเป็นบทความเกี่ยวกับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากที่มีกระแสข่าวว่าท่านเป็นหนึ่งในแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีจากทั้งหมด 6 ท่านที่เสนอชื่อออกมา
นอกจากท่านแล้วยังมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายชัยเกษม นิติสิริ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ นายพีรพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังมีกระเช้าวิพากษ์วิจารณ์ปมคลิปเสียงนายกฯไทยคนปัจจุบันคุยกับฮุนเซน ก็มีข่าวลืออาจมีการเปลี่ยนตัวนายกฯในไม่ช้านี้ ข้อมูลจะจริงเท็จประการใดผู้เขียนไม่ทราบ วันนี้จึงขอนำเสนอเรื่องราวของพลเอก ประยุทธ์ แบบละเอียด
ถ้าเนื้อหาใดในบทความนี้มีเนื้อหาที่ไม่ถูกใจท่านผู้อ่านบางท่าน ผู้เขียนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ เนื่องจากอาจมีบางท่านที่ยังอคติท่านหลังการทำรัฐประหารปี 2557 ผู้เขียนเลยขอให้ท่านอ่านอย่างมีสติและโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการรับรู้เนื้อสาระจากสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียนไว้
ก่อนที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเข้ามานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ท่านเคยมีประสบการณ์ชีวิตที่เรียกได้ว่าท้าทายเพราะเคยเป็นนายทหารที่ยอมอุทิศตนเพื่อประเทศชาติโดยไม่คำนึงถึงความสุขสบาย เรื่องราวของท่านมีเนื้อหาน่าสนใจดังนี้
▶️เติบโตในค่ายทหาร
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2497 ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรชายของ พันเอก (พิเศษ) ประพัฒน์ กับเข็มเพชร จันทร์โอชา มีชื่อเล่นว่า "ตู่" สื่อมวลชนนิยมเรียกว่า "บิ๊กตู่" เป็นบุตรชายคนโตจากพี่น้องทั้งหมดสี่คนหนึ่งในน้องชายคือ พลโท ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น)
ชีวิตวันเด็กบิ๊กตู่สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนสหะกิจวิทยา จังหวัดลพบุรี ต่อมาเมื่อเป็นวัยรุ่นท่านได้ศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนพิบูลวิทยาลัยในจังหวัดเดียวกัน จากที่จะได้เรียนกับเพื่อนรุ่นเดียวกันจนจบ ท่านเรียนได้เพียงปีเดียวก็ลาออกเนื่องด้วยคุณพ่อของท่านเป็นนายทหารจำต้องโยกย้ายไปในหลายจังหวัด ย้ายไปย้ายมาปรากฎว่าท่านได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ กรุงเทพมหานคร จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
▶️บิ๊กตู่ ยอดชายชาติทหาร
ภายหลังท่านก็ได้ตามรอยคุณพ่อสอบเข้าเรียนเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 (ตท.12) และเป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 23
เมื่อจบนายร้อยท่านไปเป็นทหารสังกัดอยู่ที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์(ร.21 รอ.)ในสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง หรือที่เราๆท่านๆเรียกกันว่า "ทหารเสือราชินี" นั่นเอง
▶️เปิดประวัติทหารเสือราชินี
ขออธิบายเพิ่มเติมสำหรับที่อาจยังไม่รู้เรื่องการทหาร หน่วยที่บิ๊กตู่เคยสังกัดนี้ก็จะมีภาระหน้าที่ถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท โดยนายทหารที่ทำหน้าที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระองค์
กองทัพบกได้มอบหมายภารกิจของ “ร.21 รอ.” ไว้หลายประการ เช่น งานป้องกันชายแดน งานรักษาความสงบเรียบร้อยมั่นคงภายใน งานโครงการพัฒนาตามพระราชดำริในพื้นที่ทุรกันดาร งานรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานถวายอารักขาองค์พระประมุข และพระราชวงศ์
ในปี 2524 “พระพันปีหลวง” องค์ผู้บังคับการพิเศษ ได้มีพระราชเสาวนีย์ให้มีการฝึกหลักสูตรพิเศษทหารเสือ เพื่อให้กำลังพลสามารถปฏิบัติภารกิจได้ทุกรูปแบบ ทั้งภาคพื้นดิน ภาคทะเล การรบในป่า-ภูเขา การปฏิบัติการในเมือง การกระโดดร่ม การขี่บังคับม้า การใช้รถจักรยานยนต์ทางยุทธวิธีฯลฯ จนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ ทรงจัดตั้งหน่วยทหารหน่วยหนึ่งขึ้นมาเป็นการส่วนพระองค์ มีภารกิจคือ ถวายอารักขาในขณะเสด็จแปรพระราชฐาน มีนามหน่วยที่เรียกกันว่า "หน่วยทหารเสริมกำลังพิเศษ" หรืออีกนามคือ “ทหารเสือ” ซึ่งได้ทรงรวบรวมนายทหารที่มีประสบการณ์จากการรบ การพัฒนามาเป็นพี่เลี้ยง ในอันที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในทุกๆ ด้านให้กับนายทหารรุ่นต่อไป
▶️ความสัมพันธ์ระหว่างพลเอก ประยุทธ์กับทหารเสือ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นหนึ่งในทหารเสริมกำลังพิเศษ หรือ “ทหารเสือ” ที่ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่ถวายอารักขาเท่านั้น แต่ท่านยังมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือหน่วยงานในพระองค์เมื่อกรณีที่เวลามีน้อย หรือมีราษฎรมาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นจำนวนมาก เช่น การตรวจสอบประวัติ จัดระเบียบ เพื่อให้มีความคุ้นเคยกับราษฎร และทราบปัญหาอย่างแท้จริง หรืองานอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็จะจัดส่วนหนึ่งไปปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชประสงค์
หลายต่อหลายครั้งที่ พลเอก ประยุทธ์ เคยตามเสด็จฯ ไปในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลความเจริญ และได้เห็นถึงความตั้งพระทัยอันแน่วแน่ และไม่ย่อท้อต่อความลำบากของ “พระพันปีหลวง” ที่ทรงเยี่ยมเยียนราษฎร พร้อมให้ความช่วยเหลือเท่าเทียมกัน ทั้งพระราชทานกำลังใจ และทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ราษฎรเลี้ยงตัวเองได้ เช่น งานศิลปาชีพ การรักษาพยาบาลฯ
มันเป็นภาพที่ประทับใจและสร้างความสุขให้แก่ท่านขณะปฏิบัติหน้าที่เลยไม่น้อย
▶️ฝ่าวิกฤตสมรภูมิเดือด
บิ๊กตู่ขณะนั้นมียศเป็น พันตรี ประจำกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้รับพระราชทาน "เหรียญรามาลา เข็มกล้ากลางสมร" ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี เหรียญรามาลานี้เดิมสร้างขึ้นเพื่อพระราชทานให้กับผู้ที่กระทำการรบด้วยความองอาจอย่างยิ่งยวด ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อกระทำการตามหน้าที่หรือเกินกว่าหน้าที่ให้สำเร็จ
การได้รับพระราชทานเหรียญนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 117 ตอนที่ 55 ลงวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2533 ซึ่งระบุว่าเป็นการเชิดชูข้าราชการทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศด้วยความกล้าหาญ เสียสละ และเป็นตัวอย่างแก่ผู้มีหน้าที่ป้องกันประเทศ
เหตุการณ์ที่นำไปสู่การได้รับเหรียญดังกล่าวคือ "สมรภูมิเขาพนมปัก" หรือ "เขาพนมประ" ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึง 2 เมษายน พ.ศ. 2526 ที่เขาพนมประ อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสระแก้ว) ในเหตุการณ์นี้กองทัพเวียดนามที่กำลังกวาดล้างกองทัพเขมร จนพวกเขาต้องหนีตายไม่จากฝูงผึ้งแตกรัง บัดนั้จนทหารเวียดนามจึงได้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทย และพยายามยึดเขาพนมประเป็นจุดตรวจการณ์ ซึ่งเป็นชัยภูมิสำคัญสำหรับพวกเขา
ในการรบครั้งนั้น พันโท ณรงค์เดช นันทโพธิ์เดช (ยศในขณะนั้น) ในฐานะผู้บังคับกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ได้นำกำลังทหารเข้าโจมตีโต้ตอบกองกำลังต่างชาติอย่างรุนแรงจนถึงระยะสู้กันตัวต่อตัว โดยไม่ยอมให้มีการถอนตัว
ขณะเดียวกันผู้กองหนุ่มมีนามว่า ร้อยเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ยศ ณ ขณะนั้น) ซึ่งเป็นผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบาก็มีบทบาทสำคัญในการสู้รบนี้เช่นกัน ฝ่ายข้าศึกได้ระดมยิงด้วยปืนใหญ่ รถถัง และเครื่องยิงลูกระเบิดอย่างหนัก และมีกำลังมากกว่าฝ่ายไทยหลายเท่า พื้นที่ปะทะเป็นภูเขามีโขดหินและหินสลับซับซ้อนซึ่งเอื้ออำนวยต่อฝ่ายข้าศึกที่เชี่ยวชาญการรบในพื้นที่เช่นนี้
ถึงแม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ด้วยความสามัคคีและขวัญกำลังใจที่เต็มเปี่ยมของกำลังพลทุกระดับ ฝ่ายไทยจึงไม่ท้อถอย ได้ระดมยิงปืน M16 และอาวุธคู่กายทหารราบแบบต่างๆในการต่อกรกับฝ่ายตรงข้าม ในที่สุดก็สามารถผลักดันให้ข้าศึกถอยร่นจากสันเขาและถอนกำลังกลับไปได้ในที่สุด โดยฝ่ายข้าศึกสูญเสียอย่างมหาศาล ในขณะที่ทหารไทยสูญเสียกำลังพล 5 นาย บาดเจ็บ 16 นาย และสูญหาย 1 นาย
เนื่องด้วยการปฏิบัติหน้าที่ในสมรภูมิเขาพนมประด้วยความกล้าหาญและเสียสละนี้ ทำให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับการยกย่องและได้รับพระราชทานเหรียญรามาลา เข็มกล้ากลางสมรในเวลาต่อมา
▶️จากก้าวเล็กๆสู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่
หลังจากที่ท่านเติบโตจากการรับราชการทหารที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ทหารเสือราชินี) มาโดยตลอดจนกระทั่งได้เป็นผู้บังคับกองพัน ก่อนจะย้ายมาอยู่กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ตามมาด้วยการได้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก
สำหรับพลเอก ประยุทธ์ เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มทหารที่เรียกว่า "บูรพาพยัคฆ์" รวมไปถึง 3ป. ที่มี "บิ๊กป๊อก" พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา (อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) และ "บิ๊กป้อม" พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ)
วันเวลาผ่านไปไวราวกับเครื่องบินเอฟ-16 เมื่อท่านได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก ควบคุมกำลังพลทั้งชั้นประทวนและชั้นสัญญาบัตรทั่วประเทศ
มีอยู่ครั้งหนึ่งได้เกิดเหตุปะทะกับทหารกัมพูชาในกรณีเขาพระวิหาร โดยท่านแสดงจุดยืนพร้อมที่จะโจมตีก่อนเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ และเคยกล่าวคำพูดที่แสดงถึงความเด็ดเดี่ยวว่า
"ไม่ยากหรอกครับ รบกันน่ะ ไม่ยาก
ผมยืนยันได้ว่าถ้าสั่งวันนี้
พรุ่งนี้ผมก็ยึด ผมก็ต้องยึดให้ได้นะ
สั่งมา เดี๋ยวก็ยึด ก็สั่งมาแล้วกัน
รัฐบาลสั่งมา ผมจะเข้าตีให้"
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก
▶️เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29
วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ ทำให้คณะรัฐประหารคณะนี้ครองอำนาจเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 5 ปี 55 วัน นับเป็นอันดับ 3 รองจากคณะรัฐประหารของจอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม มีพิธีสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้า คสช. พระบรมราชโองการดังกล่าวถูกมองว่าเป็นหัวใจสร้างความชอบธรรมแก่รัฐประหาร
ในประกาศ คสช. ฉบับที่ 10/2557 ให้อำนาจท่านเปรียบเสมือนนายกรัฐมนตรี หลังการทำรัฐประหารท่านแต่งตั้งตัวเองเป็นกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ และเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรี ท่านผู้อ่านจำกันได้ช่วงนั้นท่านจัดรายการ "ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ทุกๆช่วงเย็นจะเปลี่ยนไปกี่ช่องก็เจอท่านหมดทุกช่อง
▶️จุดเริ่มต้นมหากาพย์เรือดำน้ำ ทหารอากาศโดนทัวร์ลง
เมื่อการรัฐประหารปี 2557 ผ่านพ้นไป พี่ใหญ่ 3 ป.อย่าง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ได้รื้อลิ้นชักหยิบโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำมาปัดฝุ่นอีกครั้ง ต่อมามีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาและคัดเลือกได้ศึกษารายละเอียด และการดำเนินกาจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพเรือและผลักดันโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ว่า แผนจัดซื้อเรือดำน้ำจำนวน 3 ลำ มูลค่าลำละ 1.2 หมื่นล้านบาทนั้น ถือว่าไม่มากเนื่องจากสามารถผ่อนชำระเป็นเวลาร่วม 10 ปี ทั้งยังสามารถใช้งานได้ยาวนาน
ส่วนเรื่องเทคโนโลยีของจีนที่หลายฝ่ายยังมีข้อกังขาว่าสู้ชาติอื่นไม่ได้นั้น ตนรับรองว่ามันดีแล้ว ใช้ได้แน่นอน แล้วเป็นเทคโนโลยีใหม่ ทรัพยากรธรรมชาติฝั่งอันดามันของเรามีจำนวนมาก อีกทั้งประเทศเพื่อนบ้านเราก็ล้วนแต่มีเรือดำน้ำทั้งหมด เมียนมายังมีตั้ง 10 ลำ ซึ่งไม่ได้ซื้อเรือเก่าเลย
มาดูกันที่ท่าทีของน้องคนเล็ก 3 ป.อย่าง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า เรือดำน้ำซื้อ 2 ลำ แถมมา 1 ลำ ขอให้ทุกคนเข้าใจเหตุผลความจำเป็นในการที่จะต้องมี และถ้าต้องมีจะซื้อจากไหน เพราะเราผลิตเองไม่ได้ และไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อของแพงๆ
“กรณีนี้รู้สึกว่าราคาจะถูกที่สุด และคุณภาพใช้ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
แม้โครงการจะไปได้ด้วยดีสุดท้ายก็มีการคัดค้านจากคนในพพรคพลังประชารัฐเช่น ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขณะนั้นเปิดเผยว่า ในฐานะเลขาฯพรรค พปชร. ว่า พรรค พปชร.ไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนกับการจัดซื้อเรือดำน้ำในช่วงเวลานี้ เนื่องจากประเทศอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ยังมีความรุนแรง
เช่นเดียวกับนายภราดร ปริศนานันทกุล ลูกชายนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทองและโฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่าตามที่กองทัพเรือเสนอซื้อเรือดำน้ำ และระบุว่าทำตามหน้าที่ ส่วนตัวเองนั้นก็มีหน้าที่พิจารณา และ ชาวภูมิใจไทยไม่เอาเรือดำน้ำ แถมกล่าวอีกว่า ควรจะเอาเงินไปซื้อวัคซีนให้กับเด็กนักเรียน
จนถึงขณะนี้เรื่องเรือดำน้ำยังไปต่อแบบไร้ตอนจบ ขณะที่กองทัพเรือมีดราม่าเรื่องเรือดำน้ำ กองทัพอากาศที่กล่าวว่าบินขึ้นทันทีภายใน 5 นาทีกลับถูกทัวร์ลง
วันที่ 30 มิถุนายนพ.ศ. 2565 ท่านผู้อ่านจำได้ไหม มีการบินโจมตีกองกำลังกะเหรี่ยงของกองทัพพม่า ด้วยเครื่องบิน Mig-29 จนรุกล้ำข้ามพรมแดนมายังฝั่งไทย สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนคนไทยที่อยู่ใกล้กับจุดปะทะ เครื่องบินรบ Mig-29 ที่บินตีวงล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย เพื่อวกกลับไปโจมตีที่มั่นของชนกลุ่มน้อยเกิดขึ้นหลายระลอก และทุกรอบก็บินล้ำแนวเขตแดนเข้ามาลึกถึง 4-5 กิโลเมตร
ถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น เนื่องจากในอดีตกองทัพพม่ามักจะระดมโจมตีด้วยปืนใหญ่หรืออาวุธยิงระยะปานกลางอย่างปืนครก หรือปืนไร้แรงสะท้อนมากกว่าจะเอาเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงมาบินถล่มด้วยจรวดอากาศสู่พื้นแบบนี้ ทางการของพม่า ได้ออกมาขอโทษจากกรณีที่เครื่องบินรบได้บินรุกล้ำน่านฟ้าและแนวเขตแดนของไทย ตามด้วยทัวร์ลงที่กองทัพอากาศ ทำให้ทหารในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ถูกมองว่าไม่ยอมทำอะไรหรือทำช้าเกินไปแทนที่จะไประงับเหตุ
หลังเกิดเหตุกองทัพอากาศได้มีคำสั่งให้เครื่องบิน F-16 จำนวน 2 เครื่อง ขึ้นบินลาดตระเวนรบทางอากาศ บริเวณแนวชายแดน อ.พบพระ ทันที พร้อมทั้งได้สั่งให้ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารอากาศ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ ย่างกุ้ง ช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มาดูท่าทีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในช่วงเช้าว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ‘ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต’
บิ๊กตู่ ชี้แจงว่า ได้มีการประสานไปยังเมียนมาแล้ว ซึ่งยอมรับว่ารุกล้ำและขอโทษ ระบุว่า ไม่ได้ตั้งใจจะมีปัญหา แต่ต้องตีวงเลี้ยว จึงล้ำเข้ามาในเขตแดนไทยเล็กน้อย
ทั้งนี้ ทูตทหารได้มีการพูดคุยกันแล้ว รวมถึงตนก็ได้คุยกันแล้ว นี่เป็นเรื่องที่มองดูอาจเป็นเรื่องใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำให้เรื่องใหญ่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกหรือไม่ วันนี้เราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่แล้ว และเราเองมีสมรรถนะพอเพียงที่จะป้องกันอธิปไตยของเราไว้ได้
นอกจากนายกฯแล้ว ก็มีหลายฝ่ายที่ออกมาชี้แจงหนึ่งในนั้นคือ "บิ๊กป้อง" พลอากาศเอก นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ที่บอกว่า “ผมก็เหมือนกับทุกท่าน ผมก็เดือดเหมือนกัน บางทีอาจจะเดือดกว่าพี่น้องประชาชนอีกด้วย"
“สิ่งที่เราดำเนินการไปแล้ว เราได้ประสานติดต่อกับผู้บังคับบัญชาระดับสูง ของกองทัพอากาศเมียนมา เพื่อขอให้กำกับดูแล ให้การปฏิการณ์อะไรก็แล้วแต่ ในเขตแดนของท่าน ขอให้อยู่ในขอบเขต อย่าได้ล่วงล้ำเข้ามา ซึ่งผมก็ได้รับทราบ ถึงคำขอโทษ และเหตุผล”
พลอากาศเอก นภาเดช ยังแสดงความเห็นถึงกรณีนี้ด้วยว่า “เมียนมาคือเพื่อน ถ้าเพื่อนพลั้งเผลอเดินตัดสนามหน้าบ้านแล้วเราจะไปยิงเขาตายเลยก็เกินไป”
▶️วางมือการเมืองสู่องคมนตรี
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 เกิดรอยร้าวระหว่าง "บิ๊กตู่" พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับ "บิ๊กป้อม" พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จนกระทั่งในเวลาต่อมาพรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อ "บิ๊กป้อม" เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี พ.ศ. 2566
ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2565 บิ๊กตู่จึงกล่าวกับสื่อมวลชนว่าตัดสินใจขอเข้าเล่นเกมการเมืองในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ และพร้อมรับการเสนอชื่อจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคดังกล่าวเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย ในการเลือกตั้งครั้ง
สุดท้ายกลับไปไม่ถึงฝั่งฝัน เมื่อเวลา 16.15 น.วันที่ 11 กรกฎาคมพ.ศ. 2566 เพจ Facebook พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีการโพสต์ข้อความแสดงถึงประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ และประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค อันเป็นการปิดฉากงานทางการเมืองของอดีตทหารเสือราชินี
วันที่ 30 พฤศจิกายนพ.ศ.2566 ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง "พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา" อดีตนายกรัฐมนตรี เป็น "องคมนตรี" เป็นคนที่ 18 หลังพ้นตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี"
▶️อดีตทหารเสือจะกลับมาเป็นนายกฯหรือไม่
ในปัจจุบัน กระแสความต้องการให้พลเอกประยุทธ์กลับมาได้กลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดีย มีหลายท่านแสดงความเห็นว่าในสมัยที่พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ แม้จะคิดว่าสถานการณ์ตกต่ำแล้ว แต่เมื่อมาเจอสมัยปัจจุบันกลับรู้สึกว่าตกต่ำยิ่งกว่า แม้ในทางกฎหมายพลเอกประยุทธ์ยังคงเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้
แต่ในทางปฏิบัติโอกาสกลับมานั้นน้อยมากอย่างไรก็ตาม ซินแสหรือหมอดูได้ทำนายว่า อาจถึงเวลาแล้วที่พลเอกประยุทธ์จะมีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่จากองคมนตรีมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยเฉพาะในปี 2569 ดวงเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ความสงบสุข สันติภาพ และเศรษฐกิจจะฟื้นตัว
คำทำนายนี้เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2567 และถูกมองว่าสอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าไม่มีใครสามารถเทียบเคียงคุณสมบัติกับพลเอกประยุทธ์ได้
จากสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเสถียรภาพและการแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การกลับมาของพลเอกประยุทธ์ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป เพราะขณะนี้ไม่เป็นที่ยืนยันแน่ชัดว่าเก้าอี้นายกฯท่านจะได้ครอบครองอีกครั้งหรือไม่
นี่คือเรื่องราวของคนดังที่ผ่านสนามรบจริงและสนามรบการเมืองมาแล้ว หากเนื้อหาใดมีการเสียดสีหรือยุยงให้เกิดความเกลียดชัง ผู้เขียนก็ขออภัยมา ณ ที่นี่ เนื่องจากผู้เขียนต้องการนำเสนอข้อเท็จจริงมิได้มีการหมิ่นประมาทท่านแต่อย่างใด สำหรับบทความนี้หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย ขณะนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
The People
กรุงเทพธุรกิจ
Wassana Nanuam
Hao Wudong
Thairath Online
MGR Online
BOUNLAIY THAKAEK
Praew
สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย
Thai PBS
เรียบเรียงบทความ : นายพลห้าดาว
บันทึก
2
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย