21 มิ.ย. เวลา 02:11 • ไลฟ์สไตล์

พระญี่ปุ่นทำไมแต่งงานได้

บทนำ
เมื่อพูดถึงพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ภาพจำทั่วไปในโลกตะวันออกคือผู้ถือพรหมจรรย์ ปฏิบัติศีลเคร่งครัด อยู่ห่างไกลจากวิถีโลกีย์ และละเว้นจากการมีครอบครัว แต่ในประเทศญี่ปุ่น ภาพของ "พระสงฆ์มีครอบครัว" หรือแม้กระทั่ง "เจ้าอาวาสมีภรรยาและลูกหลาน" กลับกลายเป็นเรื่องปกติที่สังคมญี่ปุ่นยอมรับมาอย่างยาวนาน ความแตกต่างนี้สร้างคำถามมากมาย
โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า ลาว กัมพูชา ที่ยังคงยึดถือหลักวินัยเถรวาทเคร่งครัด การที่พระญี่ปุ่นสามารถแต่งงานได้จึงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ กฎหมาย ศาสนา และวัฒนธรรม
1. พื้นฐานพุทธศาสนาในญี่ปุ่น
พุทธศาสนาเข้ามาสู่ญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 6 โดยผ่านการนำเข้าจากเกาหลีและจีน และได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในสมัยราชวงศ์ยามาโตะ ภายหลังมีการพัฒนานิกายต่าง ๆ ขึ้น เช่น เท็นได ชินงอน โจโด เซน และนิจิเรน เป็นต้น พุทธศาสนาในญี่ปุ่นมีความแตกต่างจากเถรวาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีลักษณะผสมผสานกับศาสนาชินโต และมีการปรับตัวตามยุคสมัยอย่างมาก
หนึ่งในลักษณะเด่นของพุทธมหายานที่ญี่ปุ่นรับเข้ามาคือแนวคิดว่า "ปุถุชนสามารถบรรลุพุทธภาวะได้" โดยไม่จำเป็นต้องละทางโลกเสมอไป ความคิดนี้กลายเป็นรากฐานในการเปิดทางให้กับความยืดหยุ่นทางวินัยในบางนิกาย โดยเฉพาะนิกายโจโดชินชู ซึ่งต่อมากลายเป็นรากฐานของพระมีครอบครัวในสังคมญี่ปุ่น
2. ช่วงก่อนยุคเมจิ: พุทธศาสนาแบบดั้งเดิมกับความเคร่งครัด
ในยุคโบราณ พุทธศาสนาในญี่ปุ่นยึดถือหลักวินัยจากจีนและเกาหลี พระต้องถือศีลเคร่งครัด ไม่กินเนื้อ ไม่แต่งงาน และปลีกตัวจากโลกีย์ พระสงฆ์มีบทบาทสำคัญในวังหลวง เป็นครู อาจารย์ และผู้ให้คำปรึกษาทางจิตวิญญาณให้กับชนชั้นปกครอง วัดมีบทบาทคล้ายมหาวิทยาลัย และพระสงฆ์มีสถานะสูงในสังคม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปโดยเฉพาะในยุคกลาง การปฏิบัติทางศาสนาเริ่มเปลี่ยนไป การถือศีลอย่างเคร่งครัดในทุกนิกายเริ่มอ่อนลง โดยเฉพาะในชนบท พระบางรูปมีครอบครัวลับ ๆ และมีความสัมพันธ์กับฆราวาส แต่ยังไม่มีการยอมรับในทางกฎหมายหรือนโยบายอย่างเป็นทางการ
3. จุดเปลี่ยนสำคัญ: การปฏิรูปเมจิ (ค.ศ.1868 – 1912)
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พระญี่ปุ่นแต่งงานได้อย่างถูกกฎหมายเกิดขึ้นในยุคเมจิ เมื่อรัฐบาลเริ่มปฏิรูปประเทศจากระบอบศักดินาสู่รัฐชาติสมัยใหม่ตามแบบตะวันตก ในปี ค.ศ. 1872 รัฐบาลเมจิได้ออกพระราชกฤษฎีกาสำคัญที่อนุญาตให้พระสงฆ์แต่งงาน กินเนื้อ และไม่จำเป็นต้องโกนหัวอีกต่อไป ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งและมีผลต่อโครงสร้างของพุทธศาสนาในญี่ปุ่นอย่างมาก
การออกกฎหมายดังกล่าวมีเบื้องหลังทางการเมืองและสังคม รัฐบาลต้องการลดอำนาจของวัดซึ่งเคยเป็นกลไกรัฐในยุคศักดินา อีกทั้งยังต้องการเปลี่ยนบทบาทของพระสงฆ์จากผู้มีอำนาจทางจิตวิญญาณสูงสุดมาเป็นประชาชนธรรมดาที่สามารถเก็บภาษีและควบคุมได้ง่าย การให้พระแต่งงานได้จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องศีลธรรม แต่เป็นนโยบายเชิงโครงสร้างเพื่อการจัดระเบียบสังคมใหม่
1
4. การยอมรับในสังคมและการสืบทอดวัดในระบบครอบครัว
เมื่อกฎหมายเปิดทาง พระสงฆ์ในญี่ปุ่นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตชนบท ได้แต่งงานและมีครอบครัว วัดจำนวนมากกลายเป็นมรดกทางครอบครัวที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ลูกชายของพระกลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาส ลูกสาวของพระแต่งงานกับพระจากวัดอื่น ๆ เพื่อสร้างเครือข่ายทางศาสนาและครอบครัว
รูปแบบดังกล่าวเรียกว่า “ระบบจีโซกุ” (寺族 – Jizoku) หรือระบบสงฆ์มีครอบครัว กลายเป็นวัฒนธรรมปกติของวัดญี่ปุ่นนิกายต่าง ๆ โดยเฉพาะในนิกายโจโดชินชู นิจิเรน และเซนบางสำนัก สถานะของพระในญี่ปุ่นจึงอยู่ในลักษณะครึ่งพระครึ่งฆราวาส คือมีชีวิตทางโลก แต่ยังดำรงบทบาทศาสนาอยู่
5. การตีความคำสอนใหม่ในนิกายต่าง ๆ
หลาย ๆ นิกายในญี่ปุ่นได้ปรับคำสอนเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทสังคม เช่น นิกายโจโดชินชูที่สอนว่า การพึ่งพาพระอมิตาภพุทธคือหนทางหลักในการบรรลุธรรม ไม่ใช่การปฏิบัติพรหมจรรย์ที่เคร่งครัด ดังนั้นการมีครอบครัวไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเป็นพระหรือต่อการบรรลุธรรมแต่อย่างใด
ในนิกายเซนแม้จะมีบางสายยังยึดถือพรหมจรรย์ แต่หลายสำนักก็เปิดทางให้พระมีครอบครัวได้ โดยเน้นการปฏิบัติสมาธิ (เซน) เป็นหลัก มากกว่าการถือศีลแบบรูปธรรม ด้านนิกายชินงอนและเท็นได แม้จะเป็นสายเก่าแก่ ก็ยังมีวัดจำนวนมากที่ยอมรับพระมีครอบครัว
6. พระในฐานะผู้นำชุมชน ไม่ใช่เพียงนักบวช
พระญี่ปุ่นที่มีครอบครัวมักทำหน้าที่เป็นผู้นำชุมชนในพื้นที่ชนบท ทำหน้าที่จัดงานศพ สวดมนต์ในพิธีกรรม และจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น เทศกาลไหว้พระ ดนตรี การอ่านหนังสือธรรมะ วัดจึงเป็นมากกว่าสถานที่ศาสนา แต่เป็นศูนย์กลางของชุมชน
พระหลายรูปยังทำงานควบคู่ เช่น เป็นครู เป็นนักเขียน หรือแม้กระทั่งนักการเมืองในระดับท้องถิ่น บางวัดเปิดคอร์สฝึกสมาธิ ฝึกโยคะ หรือหลักสูตรทางจิตวิญญาณแก่ชาวต่างชาติ ทำให้วัดญี่ปุ่นมีความยืดหยุ่นในการดำรงอยู่ในโลกสมัยใหม่
7. ผลกระทบต่อความศักดิ์สิทธิ์และข้อถกเถียงในปัจจุบัน
แม้สังคมญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะยอมรับการมีครอบครัวของพระ แต่ก็มีข้อถกเถียงอยู่เสมอว่า การมีครอบครัวทำให้ภาพลักษณ์ของพระลดลงหรือไม่ บางคนมองว่าพระที่มีภรรยาและลูกอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน และไม่สามารถเป็นกลางทางจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง
ในขณะเดียวกันก็มีมุมมองว่า ความศักดิ์สิทธิ์ไม่จำเป็นต้องมาจากการปลีกวิเวก แต่สามารถเกิดจากจิตใจที่บริสุทธิ์ และการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของสังคม แม้จะมีชีวิตแบบฆราวาสควบคู่กันไป
8. สถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคตของพระมีครอบครัว
ปัจจุบัน วัดในญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ เช่น จำนวนนักบวชลดลง วัดในชนบทร้างมากขึ้นเพราะลูกหลานไม่ต้องการสืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาส ปัญหาการสืบทอดวัดจากรุ่นสู่รุ่นเริ่มส่งผลให้บางวัดต้องปิดตัวหรือควบรวมกับวัดใกล้เคียง
บางนิกายเริ่มมีการฟื้นฟูวัดโดยเปิดรับคนรุ่นใหม่ เข้าร่วมฝึกอบรมผ่านโปรแกรมแบบเร่งรัด หรือให้พระรุ่นใหม่ใช้โซเชียลมีเดียในการเผยแผ่ธรรมะ รวมถึงบริการ “พิธีศพออนไลน์” และการเผยแผ่ธรรมะสู่ต่างประเทศ
บทสรุป
พระญี่ปุ่นสามารถแต่งงานได้เพราะปัจจัยหลายประการผสมผสานกัน ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ กฎหมาย ศาสนา และวัฒนธรรม โดยเฉพาะนโยบายของรัฐสมัยเมจิที่เปิดทางให้พระมีครอบครัว เพื่อลดอำนาจของศาสนาเดิมและทำให้วัดอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐได้ง่ายขึ้น
ในด้านคำสอน หลายนิกายปรับแนวคิดว่าการบรรลุธรรมไม่จำเป็นต้องปลีกวิเวกหรือถือพรหมจรรย์เสมอไป หากแต่สามารถประพฤติธรรมและนำหลักธรรมมาใช้ในชีวิตครอบครัวได้อย่างแท้จริง
รูปแบบของพระมีครอบครัวจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของพุทธศาสนาในญี่ปุ่น และยังคงดำรงอยู่แม้จะมีความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมากในศตวรรษที่ 21
1
โฆษณา