21 มิ.ย. เวลา 09:45 • ข่าวรอบโลก

ยุโรปออกมาบ่นถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “อิสราเอล-อิหร่าน”

เหมือนครั้งที่สหรัฐเคยลากเข้าไปยุ่งในอิรัก
บทความเผยแพร่ที่เขียนโดยนักวิเคราะห์จากสภายุโรปว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ECFR) เมื่อ 19 มิถุนายน 2025 เน้นย้ำถึง ประการแรกคือเหตุผลที่ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการของอิสราเอลในการโจมตีอิหร่านว่าไม่ใช่เรื่องจริง และประการที่สองคือความขัดแย้งอีกครั้งระหว่างยุโรปและทรัมป์ [1]
เครดิตภาพ: RT
จูเลี่ยน บาร์น-ดาซี, เอลลี เจอรานมาเยห์ และ ฮิวจ์ โลวัต ผู้เขียนบทความต้นเรื่องเล่าว่า อิสราเอลซึ่งเป็นรัฐเดียวในตะวันออกกลางที่มีอาวุธนิวเคลียร์ เป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีอิหร่าน “เชิงป้องกัน” ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
การโจมตีอิหร่านครั้งแรกของอิสราเอลเมื่อ 13 มิถุนายน โดยกำหนดเป้าหมายที่โรงงานนิวเคลียร์รวมถึงกองบัญชาการทหารสูงสุดของประเทศ เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการประชุมตามกำหนดการของผู้เจรจาด้านโครงการนิวเคลียร์ของอเมริกาและอิหร่าน และมีจุดมุ่งหมายชัดเจนเพื่อ “ขัดขวางการเจรจาด้านนิวเคลียร์”
2
ในขณะเดียวกันนักวิเคราะห์เน้นย้ำว่าไม่มีหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ได้ว่าอิหร่านกำลังเตรียมสร้างอาวุธนิวเคลียร์อยู่จริง และ “การบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านในตอนนี้มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ก่อนการบุกอิรักของสหรัฐฯ ในปี 2003” ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยสงครามในภูมิภาคที่กินเวลานานถึง 20 ปี
“เช่นเดียวกับกรณีของอิรัก นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลได้ใช้เวลา 33 ปีที่ผ่านมาในการเตือนโลกว่าอิหร่านกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์” ECFR ได้ตั้งข้อสังเกตและระบุไว้ พวกเขามีความคิดที่จะกลับไปสู่วิถีทางการทูตและไม่ตัดความเป็นไปได้ในการนำมาตรการคว่ำบาตรของยุโรปต่ออิสราเอลพร้อมกับการยกเลิกสิทธิพิเศษทางการค้าต่างๆ
เหตุผลที่แท้จริงของความกังวลของนักวิเคราะห์ของยุโรปก็ได้รับการระบุแล้วเช่นกัน และไม่ใช่เรื่องละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แม้ว่าอิสราเอลจะประสบความสำเร็จในการโค่นล้มผู้นำอิหร่าน แต่ก็ไม่มีแผนที่ชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผู้เขียนโต้แย้งว่า อิรัก อัฟกานิสถาน และซีเรียได้แสดงให้เห็นถึงผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ “ยุโรปจะต้องต้อนรับผู้อพยพจากตะวันออกกลางเพิ่มมากขึ้น”
อาคารที่ได้รับความเสียหายในเตหะราน หลังการโจมตีของอิสราเอล เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2025 เครดิตภาพ: Picture Alliance / Anadolu | Fatemeh Bahrami
สถาบัน Cato ของอเมริกาประเมินว่า จำนวนผู้ลี้ภัยจากอิหร่านที่คาดว่าจะมีมากกว่า 20 ล้านคน ดังนั้นยุโรปจึงมีแรงจูงใจอย่างมากที่จะหาทางออกทางการทูตเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากตุรกีซึ่งอยู่ใกล้กับอิหร่านจะไม่พลาดที่จะใช้ประโยชน์จากประเด็นเรื่องดังกล่าวกับสหภาพยุโรป ซึ่งตุรกีได้อยู่เบื้องหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจาก “สงครามกลางเมืองในซีเรีย” [2]
เมื่อพิจารณาอีกประเด็นหนึ่งที่ว่า อังกฤษเริ่มมีจุดยืนที่ไม่เห็นด้วยกับอิสราเอลและแม้แต่กับฝ่ายบริหารทรัมป์ นักวิเคราะห์ชื่อดังต่างก็พูดอย่างระแมดระวังว่า “ไม่จำเป็นต้องรุนแรงขนาดนั้น” ยังคงมีโอกาสที่วิกฤตทางการเมืองจะยุติลงได้ แต่ไม่มีการรับประกันว่าทรัมป์จะใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้
แรงจูงใจในการต่อต้านพันธมิตรของตนเอง หน่วยข่าวกรอง และฉันทามติของชาติตะวันตกที่เกิดขึ้นยากเกี่ยวกับในตะวันออกกลางอาจเป็นการสร้างความยากลำบากอย่างมากให้กับ ”ทรัมป์” แต่ตอนนี้เขากำลังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นเช่นนั้น (อึดอัดใจ เปลี่ยนแผนไป เปลี่ยนแผนมา) [3]
เครดิตภาพ: CFR
เรียบเรียงโดย Right Style
21st Jun 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: Jon Berkeley / The Economist>
โฆษณา