21 มิ.ย. เวลา 12:22 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ไทยคมภายใต้แรงสั่นสะเทือนจาก LEO: โอกาส ความเสี่ยง และทางรอด
(หมายเหตุ บทความนี้เกิดจากความร่วมมือของผม และ ChatGPT ครับ ผมไม่ได้ใช้ AI เขียน 100% แต่หลัก ๆ ใช้ในการระดมข้อมูล และ Discuss กับมัน โดยพยายามบอกมันว่า อย่าตอบแบบลำเอียงนะ
ผมอยากลองดูว่า Tony Stark คุยกับ Jarvis ตอนวิเคราะห์อะไรสักเรื่องแบบจริงจัง มันรู้สึกอย่างไร
คำตอบคือ "เชี่ย โคตรเหนื่อยเลยครับ")
ในโลกที่เทคโนโลยีดาวเทียมกำลังพลิกโฉมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากการมาถึงของ Low Earth Orbit (LEO) ดาวเทียมวงโคจรต่ำที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วโลก
อนาคตของผู้ให้บริการแบบ Geostationary Orbit (GEO) อย่างไทยคม กำลังเผชิญกับความท้าทายรุนแรงจากการ Disrupt เชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะจาก Starlink ของ SpaceX
บทความนี้จะวิเคราะห์เฉพาะในมิติตลาดที่ไทยคมพยายามขยายตัว และประเมินความสามารถในการเติบโตของบริษัทภายใต้ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พร้อมประเมินความเป็นไปได้ด้วยแบบจำลอง Monte Carlo
1. ตลาดเป้าหมายของไทยคมในทศวรรษหน้า
จากรายงาน One Report ล่าสุดของไทยคม บริษัทได้กำหนดกลยุทธ์ชัดเจนในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร
โดยมุ่งสู่การเป็น “Neutral Infrastructure Operator” ที่ให้บริการผ่านทั้งทรัพย์สินของตนเอง และการเชื่อมโยงกับระบบดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) ของพันธมิตร เช่น Hughes และ Eutelsat
แล้ว GEO และ LEO คืออะไร?
GEO (Geostationary Orbit): คือดาวเทียมที่โคจรอยู่ที่ความสูงประมาณ 35,786 กิโลเมตร เหนือเส้นศูนย์สูตร หมุนด้วยความเร็วเท่ากับโลก
ทำให้เหมือนลอยอยู่กับที่เหนือพื้นโลก จุดเด่นคือสามารถครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ด้วยดาวเทียมเพียงไม่กี่ดวง แต่มีความหน่วงสัญญาณ (latency) สูง และอัปเกรดเทคโนโลยีได้ยาก
ส่วน LEO (Low Earth Orbit): คือดาวเทียมที่โคจรใกล้โลกมากกว่ามาก (ประมาณ 500–2,000 กิโลเมตร) ทำให้ latency ต่ำ ความเร็วในการส่งข้อมูลสูง สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบ real-time ได้ดี
แต่ต้องมีดาวเทียมจำนวนมากเพื่อครอบคลุมทั่วโลก และมีต้นทุนการดำเนินงานระยะยาวสูง จากการเปลี่ยนทดแทน
ในช่วงหลัง ไทยคมได้หันไปโฟกัสการให้บริการในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะ:
- อินเดีย: ผ่านความร่วมมือกับ Hughes Communications India และ Eutelsat (พันธมิตรกับ OneWeb) เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในพื้นที่ห่างไกล
- เอเชียใต้ – ตะวันออกกลาง – แอฟริกา: ในฐานะผู้ให้บริการ GEO ในพื้นที่ที่ยังมีการเข้าถึงบรอดแบนด์ต่ำ โดยเฉพาะกลุ่ม Backhaul, Maritime, และ Government Use
- กลุ่มลูกค้า Broadcast และ Satellite Uplink: ที่ยังมีความต้องการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2. แล้ว LEO กำลังเปลี่ยนตลาดเหล่านี้ไปตลอดกาล อย่างไร ?
LEO ไม่ได้เพียงแค่เข้ามาแบ่งตลาดของดาวเทียมแบบ GEO เท่านั้น แต่ยังเข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างการแข่งขันทั้งหมด ทั้งในแง่ต้นทุน เทคโนโลยี และความสามารถในการขยายบริการในระดับโลก
หนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่พยายามแข่งขันในตลาด LEO คือ OneWeb ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Eutelsat โดยมีเป้าหมายในการสร้างเครือข่ายดาวเทียม LEO เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกล คล้ายกับแนวทางของ Starlink
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคู่แข่งรายอื่นในฝั่ง LEO เช่น OneWeb แต่ความสามารถในการแข่งขันของ OneWeb ยังถูกจำกัดจากการที่โครงข่ายยังไม่ครอบคลุมทั่วโลกเต็มรูปแบบ
และต้องพึ่งพาการระดมทุนและการผนวกรวมกับพันธมิตรอย่าง Eutelsat ซึ่งในปัจจุบันกำลังประสบปัญหาทางการเงิน และมีความไม่แน่นอนในการดำเนินกลยุทธ์ในระยะยาว
ในทางตรงกันข้าม Starlink ได้กลายเป็นผู้เล่นที่มีความพร้อมเชิงเทคโนโลยีและเงินทุนเหนือคู่แข่งอย่างชัดเจน ด้วยจำนวนดาวเทียมมากกว่า 7,500 ดวง (โดยมีดาวที่ทำงานปกติราว 6,928 ดวง ณ กลางปี 2025)
และการให้บริการเชิงพาณิชย์ในกว่า 70 ประเทศ รวมถึงการเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลและกองทัพของหลายชาติ ทำให้มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นผู้เล่นครองตลาดในระยะยาว
โดยในรายงานยังระบุด้วยว่า ไทยคมตระหนักถึงแรงกดดันจากการแข่งขันของ LEO ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้าที่ต้องการการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล
ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนปรับเปลี่ยนจากการเป็นผู้ให้บริการแบบ Single Orbit สู่ Multi-Orbit Hybrid Infrastructure เพื่อสามารถให้บริการ GEO, MEO และ LEO ไปพร้อมกัน โดยผ่านการจับมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะทำให้บริษัทอยู่รอดได้ในระยะยาว เพราะการมาถึงของ LEO อย่าง Starlink ทำให้ตลาดที่เคยเป็น Blue Ocean ของ GEO กลายเป็น Red Ocean ทันที โดยเฉพาะ
- อินเดีย: Starlink กำลังเร่งเดินหน้าขอใบอนุญาตดำเนินการเชิงพาณิชย์ในอินเดีย และมีเป้าหมายให้บริการได้ทั่วประเทศ รวมถึงรัฐห่างไกล
- ตะวันออกกลางและแอฟริกา: เป็นเป้าหมายของ Starlink, OneWeb และ Telesat ซึ่งมีแผนสร้างเครือข่าย LEO เต็มรูปแบบในช่วงปี 2025-2027
- ลูกค้าภาครัฐและทหาร: แม้ GEO ยังมีจุดแข็งด้านความเสถียร แต่ LEO กำลังได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นจากประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้
ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของ LEO ในการให้บริการที่ GEO เคยครองตลาดอย่างเบ็ดเสร็จ ก็กำลังขยับเข้ามาแทนที่
ทีนี้เราลองมาวิเคราะห์กันดูว่า Starlink มีข้อได้เปรียบ และความแข็งแกร่งในด้านใดบ้าง
1) Unit Economics ของ Starlink: ความได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่เหนือกว่า
Starlink มีต้นทุนต่อหน่วยในการให้บริการ (Unit Economics) ที่กำลังเข้าสู่จุดคุ้มทุนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาความสามารถในการขยายเครือข่ายแบบ mass scale
และการลดต้นทุนต่อดาวเทียมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้จรวด Falcon 9 แบบรีไซเคิลของ SpaceX ทำให้สามารถยิงดาวเทียม LEO ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้ในราคาต่อดวงที่ต่ำกว่าผู้ให้บริการรายอื่นหลายเท่าตัว
ในแง่ต้นทุนต่อ Gbps ของบริการอินเทอร์เน็ต Starlink เริ่มเข้าใกล้ระดับเดียวกับโครงข่าย Fiber Optic ในบางพื้นที่ และต่ำกว่าระบบ GEO โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงค่า Latency และความสามารถในการอัปเกรด firmware/software จากระยะไกล
นอกจากนี้ การที่ Starlink ให้บริการได้ในกว่า 70 ประเทศ และมีฐานลูกค้ากว่า 3 ล้านรายทั่วโลก ยังช่วยกระจายต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ให้ถูกลงต่อผู้ใช้งานหนึ่งราย และนำไปสู่โอกาสการทำกำไรในระดับ Global Scale ซึ่งยากที่ผู้ให้บริการ GEO จะตามทันได้
2) การวิเคราะห์ Starlink ด้วยกรอบ 7 Powers: ความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ระยะยาว
เพื่อประเมินว่าทำไม Starlink จึงมีแนวโน้มจะกลายเป็นผู้นำตลาดดาวเทียมโลกในระยะยาว เราจะลองวิเคราะห์กัน ผ่านกรอบ 7 Powers ของ Hamilton Helmer ดังนี้:
Scale Economies (5 คะแนน): Starlink มีต้นทุนเฉลี่ยต่อผู้ใช้ลดลงต่อเนื่องจากจำนวนผู้ใช้ระดับล้านรายทั่วโลก และจำนวนดาวเทียมที่มากกว่า 7,500 ดวง ทำให้สามารถกระจายต้นทุนคงที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Network Economies (4 คะแนน): เมื่อผู้ใช้มากขึ้น ประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายดีขึ้น (ทั้ง coverage และ reliability) ยิ่งทำให้บริการน่าสนใจสำหรับผู้ใช้งานรายใหม่
Counter-Positioning (5 คะแนน): Starlink ใช้โมเดล LEO ที่ตอบสนองความต้องการในยุคอินเทอร์เน็ตได้ดีกว่า GEO อย่างชัดเจน ในขณะที่บริษัท GEO เดิมไม่สามารถปรับตัวเร็วได้เพราะติดกับดักโครงสร้างธุรกิจเดิม
Switching Costs (4 คะแนน): หากผู้ใช้ภาครัฐหรือองค์กรเลือกใช้ Starlink ในระบบสำคัญ จะมีต้นทุนในการเปลี่ยนออกสูง ทั้งด้าน hardware และสัญญาระยะยาว
Branding (4 คะแนน): การเป็นบริการในเครือ SpaceX และได้รับความเชื่อมั่นจากทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้มีความน่าเชื่อถือในระดับโลก
Cornered Resource (5 คะแนน): Starlink มีสิทธิ์ใช้งานคลื่นความถี่และวงโคจรที่ได้รับการอนุมัติแล้วจำนวนมาก รวมถึงเทคโนโลยีการยิงดาวเทียมแบบซ้ำได้ (reusable launch) ที่บริษัทอื่นยังไม่มี
Process Power (4 คะแนน): ความสามารถในการส่งมอบดาวเทียมใหม่ การอัปเกรดระบบจากระยะไกล และการจัดการโครงสร้างพื้นฐานได้แบบ agile ถือเป็นขีดความสามารถเฉพาะตัวที่ยากลอกเลียนแบบ
จากการวิเคราะห์นี้ ชี้ให้เห็นว่า Starlink ไม่ได้แค่แข็งแกร่งในด้านเทคโนโลยี แต่ยังมีโครงสร้างกลยุทธ์ที่หนุนให้เกิดการทิ้งห่างคู่แข่งในระยะยาว หากยังคงรักษาความได้เปรียบเหล่านี้ไว้ได้
จากเดิมที่ GEO เคยโดดเด่นในด้าน:
- การกระจายสัญญาณ Broadcast TV (DTH, Satellite TV)
- บริการในพื้นที่ห่างไกลผ่านจานดาวเทียม
- ความครอบคลุมแบบจุดเดียวส่งหลายจุด (multicast)
แต่ LEO สามารถทำได้เช่นกัน พร้อมความได้เปรียบ:
- Latency ต่ำกว่า (20-50 ms เทียบกับ 500-600 ms ของ GEO)
- ปรับปรุงความเร็วและเทคโนโลยีได้บ่อยกว่า เนื่องจากใช้งบยิงดาวเทียมน้อยกว่าและอัปเกรดได้ถี่
- ให้บริการอินเทอร์เน็ต ความบันเทิง Cloud และ Streaming ได้ในแพลตฟอร์มเดียว
3. เส้นทางถดถอยของ Broadcast แบบดั้งเดิม
เรื่องนี้ เราลองถามตัวเองแบบง่าย ๆ ดูก็ได้ว่า พวกเรายังเปิดทีวีแบบดั้งเดิมดูกันอยู่หรือไม่ล่ะ ?
ซึ่งผมเชื่อเลยนะว่า คำตอบส่วนใหญ่ก็คือ "ไม่"
แล้วถ้าเป็นแบบนั้น พวก GEO แบบดั้งเดิมอย่าง ไทยคม อนาคตในด้านนี้จะไปดีได้อย่างไรล่ะ
เพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้ ขออธิบายศัพท์เทคนิคให้เข้ากันสักนิด ก่อนจะไปกันต่อ เริ่มกันที่ Satellite TV
"Satellite TV (หรือ Direct-to-Home - DTH) คืออะไร?"
Satellite TV คือบริการที่ส่งสัญญาณโทรทัศน์จากสถานีภาคพื้นดินไปยังดาวเทียมในวงโคจรค้างฟ้า (GEO) แล้วสะท้อนกลับมายังจานรับสัญญาณของผู้ชมตามบ้าน โดยไม่ต้องพึ่งพาโครงข่ายเคเบิลหรืออินเทอร์เน็ต
ซึ่งนี่ก็คือวิธีแบบดั้งเดิม ที่สมัยก่อน พวกเราเวลาจะดูทีวี สัญญาณที่ส่งมาให้พวกเรา ก็มาจากวิธีนี้นั่นเอง
จุดเด่นของวิธีนี้คือ สามารถเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลได้ง่าย ครอบคลุมกว้าง และไม่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานมากนัก
แต่ข้อเสียคือไม่สามารถโต้ตอบได้ (non-interactive) และไม่สามารถแข่งขันกับบริการ Streaming แบบ On-demand ในยุคปัจจุบันได้แล้ว
โดยหนึ่งในรายได้หลักของไทยคมยังคงมาจากการให้บริการผ่านดาวเทียม โดยเฉพาะการให้เช่าความจุบนดาวเทียม (Transponder Leasing) ซึ่งรวมถึงบริการ Broadcasting, Backhaul, Broadband, และการเชื่อมต่อในพื้นที่ห่างไกล
แต่อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า ในเมื่อคนเราเปิดทีวีกันดูน้อยลง ยังไง ๆ มันก็ต้องส่งผลกระทบต่อทิศทางการทำธุรกิจในส่วนนี้ของไทยคมอยู่แล้ว โดยดูได้จากสถิติที่ลองหามา ดังต่อไปนี้
- สถิติล่าสุด (2024): ผู้บริโภคทั่วโลกใช้บริการ Video Streaming เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 17% ต่อปี ขณะที่รายได้จาก Satellite TV ลดลงเฉลี่ย 8-10% ต่อปี (PwC, Digital Media Outlook)
- ในสหรัฐฯ: สัดส่วนบ้านที่ใช้ cable/satellite TV เหลือเพียง ~42% ในปี 2023 จาก 87% ในปี 2013
- ในอินเดีย: OTT อย่าง JioCinema, Disney+ Hotstar, Netflix และ Amazon Prime มีผู้ใช้งานรวมกว่า 600 ล้านราย (เทียบกับ TV subscribers ราว 150-180 ล้านครัวเรือน)
สรุปก็คือ Broadcast กำลังกลายเป็นบริการที่มีแนวโน้มลดลงทั่วโลก และ LEO กำลังเข้ามาเป็นแพลตฟอร์มที่รวมบริการแบบครบวงจรแทน
4. แบบจำลอง Monte Carlo: โอกาสของแต่ละอนาคต
Monte Carlo Simulation คืออะไร?
Monte Carlo คือเทคนิคจำลองเหตุการณ์ในอนาคตโดยใช้หลักความน่าจะเป็น ผ่านการสุ่มตัวอย่างจำนวนมาก (เช่น 10,000 ครั้ง) เพื่อให้เห็นความหลากหลายของผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น
สถานการณ์จำลอง:
- ล้มเหลว (Disrupt เต็มรูปแบบ) – ...%
- อยู่รอดแบบเฉพาะกลุ่ม – .....%
- ปรับตัวบางส่วน – .....%
- พลิกเกมสำเร็จ – .....%
ผลลัพธ์: โอกาสที่ไทยคมจะเผชิญอนาคตยากลำบาก (ล้มเหลว + รอดแบบไม่โต) = .....%
โอกาสเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ = .......%
***** ผมขอไม่ใส่ตัวเลขจากแบบจำลองมาให้นะครับ มันอันตรายเกิน ผมยังอยากกินอิ่มนอนหลับ มีชีวิตที่มีความสุขต่อไป 5555
5. สรุป: โอกาสของไทยคมจะค่อย ๆ ถูกบีบจากทุกทิศ
หนึ่งในโครงการสำคัญที่บริษัทดำเนินการ คือการลงทุนในดาวเทียม THAICOM‑9 ซึ่งเป็นดาวเทียม GEO รุ่นใหม่แบบ MicroGEO ที่ให้บริการ Ka-band สำหรับพื้นที่เอเชีย และมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ครอบคลุมได้แบบ beam steering เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบ GEO แบบดั้งเดิม แต่เมื่อเทียบกับแนวโน้มของเทคโนโลยีดาวเทียมในระดับโลกแล้ว
- อย่างตัว THAICOM‑10 ที่คาดว่าจะยิงในปี 2027 อาจเข้าสู่ตลาดในเวลาที่สายเกินไป หากเปรียบกับการเติบโตของ Starlink ซึ่งในปีเดียวกันนั้นอาจมีจำนวนดาวเทียมทะลุ 12,000 ดวง
และเข้าสู่การใช้งานระดับ Gen 2 ที่สามารถรองรับบริการ 5G และ IoT ได้โดยตรง ผ่านการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มือถือโดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์พิเศษใด ๆ
- เอาเป็นว่า ยังไม่ต้องพูดถึงตัว THAICOM‑10 หรอก เพราะกว่าจะถึงตอนนั้น ก็อาจจะช้าเกินไปแล้วก็ได้ ลองสังเกตดูก็ได้ ตอนนี้เทคโนโลยีมันพัฒนาเร็วจนเกินไปแล้ว คาดการณ์อะไรก็ยากไปหมด
- อย่าง THAICOM-9 ที่มีแผนจะยิงในปี 2025 ถ้าลองไปเทียบดู ก็ยังไม่สามารถทัดเทียมกับความได้เปรียบของ LEO ได้ในหลายด้าน โดยเฉพาะในแง่ latency, ต้นทุนต่อหน่วย, และความสามารถในการอัปเกรดระบบแบบ agile ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการให้บริการในยุคอินเทอร์เน็ตไร้พรมแดน
แถมบริษัทก็ยังไม่มีแนวทางชัดเจนในการลงทุนใน LEO ด้วยตนเอง และยังคงใช้กลยุทธ์การร่วมมือแทน
แม้ไทยคมจะมีแผนขยายตลาดไปยังภูมิภาคใหม่และมีกลยุทธ์ในการจับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม แต่ภัยคุกคามจาก LEO โดยเฉพาะ Starlink นั้นรุนแรงและรวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาด
จุดแข็งดั้งเดิมของ GEO กำลังหมดความได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Broadcast หรือการให้บริการพื้นที่ห่างไกล ในขณะที่ LEO สามารถนำเสนอบริการเหล่านี้ได้เทียบเท่า – หรือดีกว่า – ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าและการเข้าถึงที่รวดเร็วกว่า
ถ้าบริษัทไม่สามารถหา Strategic Partner หรือ Pivot โมเดลธุรกิจเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและขยายขอบเขตบริการได้ทัน อนาคตของไทยคมก็อาจกลายเป็นเพียงผู้เล่นรายเล็กในตลาดดาวเทียม ที่ถูกกลืนโดยนวัตกรรม
อ่านมาถึงตรงนี้ ผมว่าเราก็น่าจะเห็นภาพกันดีขึ้นแล้วนะ คือผมไม่ได้สนใจหุ้น THCOM เลยสักนิด ผมแค่เคยอยากจะรู้ว่า Starlink คืออะไร เจ๋งยังไง ทำไม Peter Thiel ถึงเอา Founders Fund ไปลงทุน
ตา Thiel นี่แกตาแหลมคมมาก ขอแนะนำให้ไปดูพอร์ตของ Founders Fund คุณจะรู้สึกว่า มันเจ๋งมาก ซึ่งผมพลาดจริง ๆ ที่ไม่ซื้อ Palantir เมื่อตอนที่มีโอกาส ทำให้ไม่ได้ 20 เด้ง และพอร์ตตอนนี้ก็เลยยังไม่ถึง 1,000 ล้าน 5555
พอผมได้มาอ่านตัว Starlink ดูไอเดีย คอนเซ็ปของมัน ผมก็รู้สึกว้าวมากว่า นี่ต่อไป เราจะได้เห็น ธุรกิจแบบอินเทอร์เน็ต มี The Winner takes most ทั้งโลกเลยหรอวะเนี่ย
มันก็เลยต่อยอดทำให้ผมต้องมาสนใจว่า LEO และ GEO คืออะไร
อย่างไทยคม ก็ได้รู้ว่า มันคือ GEO ที่เป็นเทคโนโลยีเก่า
ส่วน LEO คือเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า เคยถูกมองว่า Ideal เกินไป ไม่น่าเอามาใช้ได้จริง เพราะต้นทุนสูง จะทำให้คุ้มทุนได้ มันต้องครองโลก
แต่มันก็ดันมีคนบ้า ทำให้มันกำลังจะครองโลก และมีโอกาสคุ้มทุนได้สูงมาก จนมันมี Unit Economics ที่ดีมาก ใช่ครับ Elon Musk ครับ 555
หลังจากได้รู้เรื่องนี้เมื่อช่วงกลางปีก่อน ผมก็เลยได้มาสนใจหมวดนี้นิดหน่อย ไม่ได้ชอบไทยคมนะ แต่อยากเห็นการเติบโตของ Starlink ว่ามันจะเป็นในแบบที่ผมคิดหรือป่าว
แต่พอเป็นแบบนี้ มันก็เลยทำให้ผมต้องตั้งคำถามไงว่า แล้วไทยคม จะเอาตัวรอดในยุคที่มีคนที่เก่งมาก ๆ อย่าง Starlink และผู้นำที่บ้าระห่ำมาก ๆ แบบ Elon Musk ได้อย่างไร
ผมก็ใช้ AI เนี่ยแหละในการถามตอบกับมัน พยายามจะถามมันเพื่อดูว่า มีประเด็นอะไรที่จะช่วย Defend ให้ไทยคมยังเอาตัวรอดต่อไปได้ในอนาคต
คือผมเป็นคนที่คิดในเชิง Dynamics = Changing over time ตลอดเวลานะ เพราะสมัยเรียนเศรษฐศาสตร์ ป.โท และตอนไปนั่งเรียนกับพวกปริญญาเอกสนุก ๆ ผมชอบ Concept ของมันมาก
พอผมคิดในเชิงนี้ ด้วยการคิดว่า การพัฒนาทางเทคโนโลยี งบ R&D ที่มากกว่าอย่างมหาศาล
ถ้าวันนึง Starlink เกิดเป็น Winner takes most หรือครอง Market Share น่านฟ้า ได้เยอะมากจริง ๆ ล่ะก็
ทางรอดของไทยคมเท่าที่ผมเห็น หลังจากการตัด Choice ออก ก็คงมีแค่ลูกค้าภาครัฐ และในด้านการทหารเท่านั้นเอง
มันก็เลยทำให้ผมต้องตั้งคำถามต่อว่า แล้วถ้าแบบนั้น เทียบกับระยะเวลาที่ดาวเทียมสักดวงจะใช้งานได้ คิดในเรื่องงบลงทุน รวมค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ต่อดาวเทียมดวงนึงแล้ว ไทยคมจะต้องมีรายได้เท่าไร มันถึงจะคุ้มทุนนะ
แล้วผลลัพธ์ที่ได้ ก็ออกมาว่า ถ้างบลงทุนในระดับ 10,000-15,000 ล้านบาท ด้วยฐานลูกค้าที่เป็นเอกชน ในอนาคตที่จะถูก LEO disrupt ได้ด้วย มันจะเอาอะไรมาคุ้มทุน มองยังไงก็จะเจอกับการขาดทุนนะครับ
แล้วยิ่งแบบ Use Case ของ Starlink เองในด้านการทหารก็มีมาให้เห็นบ้างแล้ว คือยูเครน และเห็นว่ามีลูกค้าที่เป็นกลาโหมสหรัฐ และพวกประเทศแถบยุโรปบ้าง
ผมก็คิดดีไม่ได้ว่า ถ้าอย่างนั้น ภาพในอนาคตที่ผมเห็นนี่ ไทยคมจะไม่เหลือแค่ลูกค้าที่เป็นรัฐไทยเท่านั้นหรอ
ผมไม่รู้ว่ามันยากเกินไป หรือผมเข้าใจผิด
แต่พอผมได้มองออกไปในโลกที่กว้างใหญ่ ที่ผมรู้ดีเลยว่า ถ้าผมไม่รีบเร่งเรียนรู้จักรวาลโลกธุรกิจของต่างประเทศ ให้ได้รู้จักบริษัทใหม่ ๆ ในทุก ๆ วัน ผมจะเริ่มคล้ายกับคนแก่ ที่ไม่ทันโลกแล้ว
ผมรู้ตัวเองดีเลยว่า พอได้ศึกษาหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศ มันทำให้ผมได้เห็นความจริงของตัวเองว่า เรื่องที่ผมไม่รู้ มันมีอีกเยอะมาก ๆ และในหลายครั้ง ผมก็ดันรู้สึกว่า ทำไมมันยากจัง
แต่การทำแบบนี้ในทุก ๆ วัน ผมว่ามันก็ท้าทายตัวเองดีนะครับ เพราะยิ่งเราเจอว่าตัวเองไม่รู้อะไรในทุกวัน และพยายามหาความรู้เพิ่มขึ้นในทุกวันเนี่ย มันจะยิ่งขยาย The Boundary of our knowledge ของเราได้ในทุกวันครับ
ผมกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอายุ 18 ปี ที่ไม่มีความรู้ไม่มีประสบการณ์อะไร แต่ต้อง work hard พัฒนาตัวเองให้มีความรู้ เพื่อหนีการโดนรีไทร์ให้ได้ 555
แต่การที่เราได้ศึกษาบริษัทต่างประเทศ ผมว่ามันมีข้อดีมากอย่างนึงเหมือนกันนะครับ เพราะมันจะทำให้เราได้มองเห็นโลกที่กว้างใหญ่มากขึ้น ได้รู้ว่า ในโลกนี้เค้าไปถึงไหนแล้ว
อย่างในเรื่องการลงทุนก็มีประโยชน์มาก เพราะผมว่ามันช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นได้ว่า พอเราได้รู้ว่าในโลกนี้มีบริษัทที่มันเก่งมาก กำลังทำธุรกิจแบบเดียวกับบริษัทไทยที่เราสนใจอยู่ เราก็จะได้ตัดสินใจได้แล้วว่า หุ้นแบบไหน ที่ในไทยเราไม่ควรซื้อเลย เพราะไม่สามารถไปแข่งกับระดับโลกได้
แต่ถ้าเราไม่ได้มีฐานความรู้ ไม่ได้รู้จักบริษัทในระดับโลกดีพอ เราเห็นหุ้นไทยบางตัว ที่ Market Cap เล็ก Multiple อาจจะไม่เท่าไร เราก็อาจจะคิดไปว่า ราคามันถูกดี
แต่ถ้าเรามีฐานความรู้จากการศึกษาหุ้นโลกมาบ้าง เราก็อาจจะเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า ไอ้ราคาที่เราเห็นว่ามันถูก มันอาจจะคู่ควรแล้วก็ได้ เพราะถ้ามองในเรื่องความสามารถในการแข่งขันของมันเอง มันอาจจะไม่ได้มีอนาคตอะไรที่ดีเลยก็ได้ครับ
บริษัทเหล่านี้ในตลาดหุ้นไทยก็อย่างเช่น บริษัทที่พยายามทำ CRM, ทำแพลตฟอร์มจองโรงแรม, ทำ vertical market software (ตัวนี้น่าสนใจ แต่ผมยังมองไม่เห็นความเป็น Mark Leonard ในตัวเค้า อีกอย่าง ตลาดในไทยมันอาจจะเล็กเกินไปหรือป่าว)
และใช่ครับ ไทยคม สำหรับผม ก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ..
โฆษณา