24 มิ.ย. เวลา 13:00 • ไลฟ์สไตล์

จัดการเงินก็เหมือนเล่นเกม และนี่คือสูตรลับที่จะทำให้คุณชนะ

หากคุณรู้สึกว่าเรื่องการเงินเป็นอะไรที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ทำยังไงก็ไม่เข้าใจสักที วันนี้อยากให้ลองอ่านโพสต์นี้ให้จบ
เพราะรากของปัญหาของเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเรามีข้อมูลที่เยอะเกินไป แต่อาจจะเป็นมุมมองที่เรามีต่อเรื่องการจัดการเงินที่ยังไม่มีโครงสร้าง (Structure) อะไรมาครอบ จึงทำให้มองไม่ออกว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
วันนี้เลยอยากเสนอมุมมองเรื่องการเงินให้อยู่ในรูปแบบของ ‘เกม’ แล้วเราจะเข้าใจเลยว่าแท้จริงแล้วการเงินไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย
💰 [ เกมการเงิน ]
‘เกม’ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1. Finite Game : เกมที่มีคนแพ้-ชนะ เมื่อเล่นจบ เช่น เกมฟุตบอล เกมยิงกัน ฯลฯ
2. Infinite Game : เกมที่ไม่มีที่สิ้นสุด เกมหรือสถานการณ์ที่ไม่มีจุดจบที่ชัดเจน ไม่มีผู้ชนะหรือผู้แพ้ที่แน่นอน และกฎเกณฑ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เป้าหมายหลักของผู้เล่นในเกมประเภทนี้คือการรักษาตัวเองให้อยู่ในเกมต่อไปได้นานที่สุด แทนที่จะพยายามเอาชนะคู่แข่ง
เพราะฉะนั้นเรื่องการเงินจะจัดอยู่ในเกมประเภทที่ 2
ไม่ต้องเอาชนะใคร อยู่ให้รอด เล่นให้เก่ง และเติบโตไปกับมัน
หลายคนอาจจะถามว่า แล้วจะเล่นไปทำไมถ้าไม่มีเป้าหมายให้ชนะ? แต่เกมแบบนี้เป็นเกมที่จะช่วยให้เราสร้างนิสัยที่ดีในระยะยาว พัฒนาความสามารถและทักษะระหว่างทาง แทนที่จะพยายามวิ่งไปให้ถึงเป้าหมายให้เร็วกว่าคนอื่นๆ
🎮 [ หยุด Tutorial Mode ]
ทุกเกมเวลาเริ่มเล่นจะมีสิ่งที่เรียกว่า ’Tutorial Mode’ ที่สอนว่าต้องขยับตัวละครยังไง ฟันดาบ ใช้ไอเทม ฯลฯ
ถ้าเปรียบเป็นเรื่องการเงิน หลายคนติดอยู่ใน Tutorial Mode อ่านหนังสือเยอะแยะมากมาย บทความเป็นร้อยเป็นพัน แต่ไม่ลงมือทำสักที
ทางจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า ภาวะวิเคราะห์เกิน (Analysis Paralysis) คือ สภาวะที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่สามารถตัดสินใจได้เนื่องจากทำการวิเคราะห์ข้อมูลหรือสถานการณ์มากเกินไป ทำให้เกิดความลังเล ไม่สามารถดำเนินการหรือตัดสินใจได้
สาเหตุหลักของภาวะนี้เกิดจากความกลัว กลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา กลัวที่จะล้มเหลว นั่งรอว่าทางออกที่สมบูรณ์แบบ (หรือวิธีที่สมบูรณ์แบบ) จะปรากฏเมื่อเราอ่าน วิเคราะห์ ศึกษามากพอ
ลองตั้งเป้าหมายไปที่ ‘ดีพอแล้ว’ ไม่ต้อง A+ แต่แค่ B+ ก็พอ
👾 [ XP - Experience Point to Level Up ]
เมื่ออาวุธพร้อม และ กดปิด Tutorial Mode ต่อไปเราก็จะออกไปต่อสู้กับศัตรู หาขุมทรัพย์ หาเพื่อนที่มาช่วยเหลือระหว่างทาง
สิ่งเหล่านี้คือการสร้าง XP Point หรือแต้มประสบการณ์
หากเป็นเรื่องการเงิน ให้ลองคิดว่า ‘ทุกการตัดสินใจเรื่องการเงินในเชิงบวก’ คือการเพิ่ม XP ให้กับตัวเอง
และเมื่อมีแต้มมากพอ เราก็จะอัปเลเวลไปอีกขั้นหนึ่งได้
จ่ายหนี้ 100 XP, ซื้อกองทุน 150 XP, ไปเรียนคอร์สออนไลน์เรื่องการออมเงิน 500 XP, ทำอาหารกินเองที่บ้าน 50XP, ไม่ซื้อของวันคู่ 100XP ฯลฯ
ชัยชนะเล็กๆ เหล่านี้จะกระตุ้นให้คุณสร้างนิสัยการเงินที่ดี และทบต้นมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ถ้าอยากให้เห็นภาพชัดขึ้น อาจจะใช้เงินออมในบัญชีเพื่อเป็นตัววัดเลเวลก็ได้ เช่น
Level 1 : เงินออม 1,000 บาท
Level 2 : เงินออม 10,000 บาท, บัญชีลงทุน 1,000 บาท
Level 3 : เงินออม 50,000 บาท, บัญชีลงทุน 10,000 บาท, จ่ายหนี้หมดทุกก้อน
[…]
จำเอาไว้ว่านี่เป็นเกมที่คุณไม่ต้องแข่งกับใคร ตั้งเป้าหมายที่เราทำได้ แต่ต้องไม่ง่ายจนเกินไป เพราะถ้าไม่ท้าทาย ความสนุกของการเล่นเกมก็จะหายไปด้วย
⚔️ [ ตีบอส ]
ความสนุกของเกมอีกอย่างคือเผชิญหน้ากับบอสของด่าน ที่ต้องใช้ทักษะและความสามารถของเราทุกอย่าง (ในเวลานั้น) เพื่อจะผ่านไปให้ได้
ในการผจญภัยทางการเงินของเราก็ต้องเจอบอสเหล่านี้เช่นกัน
หลักๆ มีบอสใหญ่อยู่ 2 ตัวที่หลายคนน่าจะต้องเจอ
1. หนี้ (Debt)
เวลาเราสู้บอสในเกม นอกจากเตรียมอาวุธ ค่าชีวิต ไอเทมต่างๆ แล้ว สิ่งที่เราต้องเรียนรู้คือดูว่าจุดอ่อนของมันอยู่ตรงไหน เรียนรู้ หลบหลีกรูปแบบความสามารถและท่าไม้ตายของมันให้ได้
เมื่อเป็นเรื่องหนี้ เราต้องเรียนรู้เช่นกันว่า ‘รูปแบบ’ ของปัญหานี้อยู่ตรงไหน ดูว่าเราใช้เงินส่วนไหนเยอะเกินไป มีรูรั่วการเงินตรงไหน
เมื่อรู้แล้ว ก็ต้องอัปเกรดอาวุธของเราเพื่อไปสู้ ต้องหาเงินเพิ่มยังไง ตัดค่าใช้จ่ายตรงไหนได้บ้าง หาความรู้เพิ่มได้ไหม
สุดท้ายใช้ท่าไม้ตายของเราในการแก้หนี้ ไม่ว่าจะเป็น Snowball (ก้อนหิมะกลิ้งลงเขา) หรือ Avalanche (หิมะถล่ม) ก็ได้ [รายละเอียดในคอมเมนต์นะครับว่าทำยังไง]
2. Lifestyle Inflation
ปัญหานี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่อเรามีรายได้เพิ่มขึ้น รายจ่ายก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เมื่อเรามีเงินเดือน 25,000 บาท เราคิดว่าถ้าได้เงินเดือน 50,000 บาท เราอยู่ได้สบาย
แต่พอมีเงินเดือน 50,000 บาทจริง รายจ่ายก็เพิ่มตามมาด้วย ตอนนี้เรารู้สึกว่าได้ 1 แสนก็คงพอแล้วจริงๆ แต่พอไปถึงจุดนั้นรายได้ก็ตามมาอีก
เทคนิคการสู้บอสตัวนี้ที่ง่ายที่สุดคือ ‘ตั้งเป้าหมายการเงินที่ชัดเจน’ จัดการเงินทุกบาทว่าต้องทำหน้าที่อะไรตรงไหน ออมเท่าไหร่ กินเท่าไหร่ ใช้เท่าไหร่
เหมือนอย่างที่ เดฟ แรมซี่ (Dave Ramsey) เคยพูดไว้ว่า “การจัดการเงินคือการ ‘บอกเงินว่าจะให้มันไปที่ไหน’ แทนที่จะมานั่งสงสัยทีหลังว่า ‘เงินหายไปไหนหมด’ ถ้าคุณไม่วางแผนการใช้เงิน การไม่มีแผนนั่นแหละที่จะควบคุมชีวิตคุณไปตลอด”
🔑 [ Cheat Codes ]
หลังจากที่พัฒนาทักษะต่างๆ จนเริ่มเชี่ยวชาญทั้งเรื่องการออมเงิน หาเงิน และลงทุน เราสามารถหาสูตรลับหรือ ‘Cheat Codes’ มาใช้ระหว่างทางเพื่อให้เกมที่เล่น ‘ง่ายขึ้นนิดหนึ่ง’
ในโลกการเงินสูตรเหล่านี้ก็มีตั้งแต่
1. หาความรู้เพิ่ม พัฒนาทักษะที่สร้างรายได้ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง
2. สร้าง ‘อาชีพเสริม’ หลังทำงานประจำ
3. อาศัยอยู่กับพ่อแม่ก่อนแม้เรียนจบแล้วเพื่อเก็บเงินก้อน
4. ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้อยู่เสมอ
5. ตรวจสอบวงสังคมที่เราอยู่ เพื่อนที่คบหา เพราะกลุ่มคนที่ใกล้ชิดมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเรามากกว่าที่คิด
6. อย่าลืมสวัสดิการของบริษัท อย่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ คลาสเรียนฟรี
7. ย้ายเงินเย็นไปไว้ในบัญชีดอกเบี้ยสูง
8. ใช้ ‘no spending challenge’ ท้าตัวเองไม่ให้ใช้เงิน (สำหรับบางอย่าง) ในระยะเวลาหนึ่ง เช่นงดซื้อกาแฟนอกบ้าน 30 วัน แล้วชงกินเองที่บ้านแทน หรือ ใช้ของในตู้เย็นให้หมดก่อนจะซื้อใหม่
9. เทคนิค ‘ซื้อ 1 ทิ้ง 1’ ก่อนจะซื้ออะไรใหม่ ต้องคิดก่อนว่าถ้าเป็นของที่มีอยู่แล้ว จะทิ้ง (หรือบริจาค หรือ ขาย) ชิ้นไหน
🚨 แต่สิ่งที่ต้องระวังคืออย่าหลงไปเชื่อสูตรลับที่บอกว่าจะทำให้คุณรวยเร็วๆ ออนไลน์ พวกคลาสชวนเชื่อต่างๆ อันไหนที่มันดีเกินจริง มันก็ดีเกินจริงนั่นแหละ
สุดท้ายหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์และช่วยให้เราเห็นว่าเกมการเงินที่เรากำลังเล่นอยู่นั้นไม่จำเป็นต้องแข่งกับใคร เราแค่รู้จักตัวเอง เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเรา พลิกแพลงและหาสูตรที่เหมาะสม การสู้บอสระหว่างทางถือเป็นความท้าทายที่เราต้องเอาชนะให้ได้
ตัวละครในเกมเติบโตจะการตัดสินใจมากมายระหว่างทาง
ชีวิตของเราก็ไม่ต่างกัน เพราะมันคือผลรวมของการตัดสินใจเล็กๆ ที่เราเลือกทำในทุกวันเช่นกัน
- โสภณ ศุภมั่งมี (บรรณาธิการ #aomMONEY)
#การเงินส่วนบุคคล #เกมการเงิน #แนวทางการเงิน
โฆษณา