จิตวิทยา นักเตะค่าตัวแพง... แรงกดดันมหาศาลจริงหรือไม่?
ค่าตัวของนักฟุตบอลในยุคปัจจุบันพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงไม่แพ้ฟอร์มการเล่นในสนาม ผู้เล่นระดับท็อปไม่ได้ถูกคาดหวังแค่ให้ “เล่นดี” แต่ต้อง “เล่นคุ้มค่าตัว” ด้วยคำถามที่ตามมาคือ... จิตใจของนักเตะจะรับมือกับความกดดันเหล่านี้ได้อย่างไร?
บทความใน The Athletic
ย้อนกลับไปในปี 1979 เทรเวอร์ ฟรานซิส กลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกในสหราชอาณาจักรที่มีค่าตัวแตะหลัก 1 ล้านปอนด์ ไบรอัน คลัฟ ซึ่งขณะนั้นคุม น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และ จิม สมิธ ผู้จัดการทีมเบอร์มิงแฮม ซิตี้ (ต้นสังกัดเดิมของฟรานซิส) ได้ตกลงกันว่าให้ประกาศค่าตัวเพียง 999,999 ปอนด์ แม้ในความเป็นจริงเงินที่จ่ายจะเกินหนึ่งล้านก็ตามที
การตัดสินใจนี้มีเป้าหมายสองด้าน หนึ่งคือช่วยจิตวิทยาในการควบคุมอีโก้ของฟรานซิส และอีกด้านคือบรรเทาความกดดันที่มาพร้อมกับตัวเลขระดับประวัติศาสตร์นี้
ฟรานซิสเองเคยเขียนไว้ในอัตชีวประวัติปี 2019 ว่า “คำถามที่ผมยังคงถูกถามอยู่เสมอคือ ‘ค่าตัวคุณจริง ๆ มันไม่ถึงล้านใช่ไหม?’ นั่นคือเรื่องที่คลัฟสร้างขึ้นเพื่อคลายความกดดันจากผม”
กว่า 40 ปีให้หลัง ไม่น่าแปลกใจที่หลายสโมสรยังคงพยายามปกปิดค่าตัวนักเตะที่ซื้อมาให้ดูต่ำกว่าความจริง หรืออย่างน้อยก็เลี่ยงไม่เปิดเผยตัวเลข เพื่อช่วยให้ผู้เล่นไม่ต้องแบกรับแรงกดดันจากการเป็น “แข้งค่าตัวแพง”
โฟลเรียน เวียร์ตซ์ ที่กำลังจะกลายเป็นผู้เล่นค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ… แต่อาจจะนะ
หากเงื่อนไขโบนัสต่าง ๆ บรรลุตามสัญญา ค่าตัวของเวียร์ตซ์จะเพิ่มอีก 16 ล้านปอนด์จากลิเวอร์พูลให้กับไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ทำให้เขาครองสถิติค่าตัวสูงสุดของเกาะอังกฤษทันที
แต่ ณ ตอนนี้ แค่ค่าตัวการันตีที่ 100 ล้านปอนด์ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล และดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลก็พอใจที่เวียร์ตซ์ยังไม่ต้องเจอกับแรงกดดันเต็มรูปแบบทันทีเหมือนที่นักเตะคนอื่นเคยเจอมา
"ช่วงเริ่มต้นมันยากมาก"
มอยเซส ไกเซโด้ นักเตะเจ้าของค่าตัวสถิติอังกฤษคนปัจจุบัน (115 ล้านปอนด์จากไบรท์ตันไปเชลซีในปี 2023) เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปรีซีซั่นที่แล้ว "เพราะคุณอยู่กับสโมสรใหญ่ ค่าตัวมันสูง และคุณต้องชนะทุกนัด" ไกเซโด้ไม่ใช่คนแรกที่รู้สึกถึงแรงกดดันจากค่าตัวมหาศาล
ย้อนไปในปี 2002 ริโอ เฟอร์ดินานด์ ย้ายจากลีดส์ ยูไนเต็ดไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 29 ล้านปอนด์ กลายเป็นนักเตะที่แพงที่สุดในอังกฤษในเวลานั้น
“ความกดดันนั้นมันประเมินค่าไม่ได้ มันมหาศาล” ริโอ กล่าวในพอดแคสต์ของตัวเอง “ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ไปที่ไหน… แค่รู้สึกได้ว่าทุกคนจ้องมาที่คุณ คิดถึงค่าตัว คิดถึงความคาดหวัง
เดินออกไปซ้อม — ความคาดหวัง
เข้าโรงอาหาร — ความคาดหวัง
ไปสนามเยือน — ความคาดหวัง
ทุกที่เต็มไปด้วยความคาดหวังระดับ 100 ล้านปอนด์ ฟอร์มต้องเวิลด์คลาส ต้องเกินมาตรฐานเสมอ ต้องสุดยอดเหนือความคาดหมายทุกครั้ง!”
ช่วงเวลากว่าสามทศวรรษ ค่าตัวนักเตะในอังกฤษพุ่งสูงขึ้นกว่า 10 เท่า
ปี 1995 แค่สแตน คอลลีมอร์ ย้ายจากฟอเรสต์มาอยู่กับลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 8.5 ล้านปอนด์ ก็ทำให้คนทั้งวงการตาโตแล้ว แม้สถิติของเขาไม่ได้ย่ำแย่อะไร (ยิง 26 ประตูจาก 61 เกมพรีเมียร์ลีก) แต่มันก็ยังไม่ตื่นตาตื่นใจอย่างที่แฟน ๆ และลิเวอร์พูลหวังไว้
"สมัยผมย้ายมา ก็น่าจะแค่ให้ผมเดินผ่านประตู และปรับตัวพอ ไม่ต้องทำอะไรที่มันใหญ่โต… ทุกเกมที่ดี ก็กลายเป็น 'นักเตะค่าตัวแพงทำประตู' ทุกเกมที่แย่ ก็กลายเป็น 'นักเตะค่าตัวแพงเล่นไม่ออก' ซึ่งมันกวนใจมาก"
"ผมอยากเห็นลิเวอร์พูลใช้วิธีเปิดตัวแบบเรียบง่าย ผมคิดว่าลิเวอร์พูลฉลาดพอ และควรให้เวียร์ตซ์ได้ปรับตัวแบบธรรมชาติ”
อย่างไรก็ตาม เวียร์ตซ์จะไม่ต้องรับภาระในการพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ เพราะทีมคว้ามาแล้วในฤดูกาลก่อน สุดท้าย ความสำเร็จของเวียร์ตซ์ในการรับมือกับความกดดันอาจขึ้นอยู่กับ "ทัศนคติของเขาเอง"
อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือ อลัน เชียเรอร์ ที่ย้ายจากแบล็กเบิร์นมาอยู่กับนิวคาสเซิลในปี 1996 ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ ซึ่งกลายเป็นสถิติโลกในตอนนั้น
แม้จะไม่เคยพาทีมบ้านเกิดคว้าแชมป์ได้ แต่เขาก็ยิงไปถึง 206 ประตูในทุกรายการ กลายเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทั้งสโมสรและพรีเมียร์ลีก
เชียเรอร์เคยเขียนในคอลัมน์ของ The Athletic ว่า
"ผมไม่เคยรู้สึกว่าค่าตัวเป็นภาระเลย… ไม่แม้แต่นิดเดียว มันรู้สึกเหมือนฝัน ผมรู้สึกภูมิใจ ตื่นเต้น เป็นคนพิเศษ เหมือนตัวเองสูง 10 ฟุตไปเลย"
บทเรียนจากอดีตก็ชี้ให้เห็นว่า แรงกดดันจากค่าตัวนั้นมีอยู่จริง อยู่ที่ว่าคุณจะปรับทัศนคติและรับมือกับมันอย่างไร...
#เดอะค็อปขบถลูกหนัง #ลิเวอร์พูล #liverpool #ynwa #football
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
