26 มิ.ย. เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ESG ในโลกที่แตกแยก: บทเรียนจากการเปลี่ยนยุทธศาสตร์สหรัฐฯ-จีน และแนวโน้มในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ได้สร้างภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนสำหรับแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) จากเดิมที่โลกเคยถูกแบ่งตามความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่าง "คนรวย vs. คนจน" ตอนนี้ได้พัฒนาไปสู่การแบ่งขั้วทางอุดมการณ์ระหว่าง "เสรีนิยม vs. ประชานิยม" ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อวาระ ESG ทั่วโลก
การต่อต้าน ESG จากแนวคิดประชานิยม
การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงให้เห็นถึงการต่อต้าน ESG ในรูปแบบประชานิยมอย่างชัดเจน ด้วยการถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีส, ขัดขวางการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า, สนับสนุนการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล และต่อต้านนโยบายด้านความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม (DEI) อย่างรุนแรง สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นระหว่างความมุ่งมั่นขององค์กรต่อ
ESG กับแรงกดดันทางการเมือง
วิวัฒนาการของโลกาภิวัตน์และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
แนวคิดโลกาภิวัตน์ได้ผ่านหลายขั้นตอน เริ่มจาก "Globalization 1.0" ที่จีนทำหน้าที่เป็นโรงงานของโลก ตามมาด้วย "Globalization 2.0" ที่ฐานการผลิตย้ายไปยังเวียดนาม เม็กซิโก และไทย และปัจจุบันเข้าสู่ "Globalization 3.0" ซึ่งเป็นโลกาภิวัตน์ที่แยกตัวออกจากสหรัฐฯ และจีน โดยสหรัฐฯ ผลิตเพื่อตลาดสหรัฐฯ และจีนผลิตเพื่อตลาดจีน ทำให้โลกาภิวัตน์หดตัวลง การจัดเส้นทางการค้าและการลงทุนใหม่ยังคงดำเนินต่อไป
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากวัฏจักรเศรษฐกิจ แนวโน้มประชากร และการเติบโตของผลิตภาพที่ต่ำอยู่แล้ว สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ด้วยการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน การลดลงของปริมาณการค้า ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคและธุรกิจ
ESG ในโลกที่แตกแยก: ผลกระทบและแนวโน้ม
ในโลกที่แตกแยกนี้ ESG ยังคงเป็นแนวโน้มสำคัญในกลุ่มธุรกิจระดับบน แต่ก็มีการต่อต้านจากแนวคิดประชานิยมในระดับการเมือง ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบหลายประการ:
• ความแตกแยกทางภูมิภาคที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น: ยุโรปและเอเชียยังคงทะเยอทะยานในเรื่อง ESG โดยมีกฎระเบียบใหม่ๆ กำลังจะบังคับใช้ ในทางกลับกัน สหรัฐฯ และบางตลาดเกิดใหม่กำลังเผชิญกับการต่อต้านทางการเมือง ซึ่งคาดว่าจะทำให้ช่องว่างระหว่างภูมิภาคเหล่านี้กว้างขึ้น บริษัทข้ามชาติจะต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้ธุรกิจเป็นที่พอใจของระบอบการเมืองที่แตกต่างกันทั้งสองฝั่ง
• 'Hushing' ในสหรัฐฯ: "Hushing" หรือการเงียบไว้ กลายเป็นภาษาใหม่ของ ESG ในสหรัฐฯ หมายความว่าบริษัทต่างๆ อาจต้องดำเนินกิจกรรม ESG อย่างเงียบๆ โดยไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่จำเป็นจากรัฐบาลที่ต่อต้าน ESG
• การดำเนินการ ESG ที่ช้าลงในประเทศกำลังพัฒนา: บริษัทในตลาดเกิดใหม่อาจลดหรือเปลี่ยนจุดเน้นจาก ESG ในระยะสั้น เนื่องจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานและข้อกังวลเร่งด่วนอื่นๆ ซึ่งอาจนำไปสู่สถานการณ์ "NATO" (No Action, Talk Only)
1
• เทคโนโลยีปฏิวัติการรายงาน ESG: เทคโนโลยีอย่าง AI และบล็อกเชนจะเข้ามาปฏิวัติการรายงาน ESG โดยช่วยให้สามารถตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานแบบเรียลไทม์และการตรวจสอบความยั่งยืนแบบอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลจะทำให้งานขนาดใหญ่จัดการได้ง่ายขึ้น และเพิ่มความแม่นยำในการรายงาน
• ESG ยังคงอยู่: แม้จะมีความผันผวนทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดสอบจากแนวคิดประชานิยมอย่างทรัมป์ แต่ ESG ก็ได้ฝังรากลึกในตลาดโลก การบริหารความเสี่ยง และความคาดหวังของผู้บริโภคแล้ว อุปสรรคทางนโยบายจะเป็นเพียงความท้าทายชั่วคราว ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของ ESG ESG ในฐานะกลไกการเติบโตใหม่และครอบคลุม
แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวมองว่าการปกป้องสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นภาระต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เป็นตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรม ประสิทธิภาพ และโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ โดยเน้นการเปลี่ยนผ่านจากโมเดลเศรษฐกิจที่ใช้ทรัพยากรมาก ไปสู่โมเดลที่มีคาร์บอนต่ำ ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทางสังคม
บทบาทของจีนในภูมิทัศน์ ESG ที่เปลี่ยนแปลงไป
จีนแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการลงทุนพลังงานสะอาดที่กระตือรือร้นกับการรายงาน ESG อย่างไรก็ตาม ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปกำลังผลักดันให้จีนเน้น ESG มากขึ้นเพื่อเพิ่มการค้ากับสหภาพยุโรป และสร้างความแตกต่างจากสหรัฐฯ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และปักกิ่งได้ออกแนวทางบังคับให้บริษัทจดทะเบียนบางแห่งต้องรายงานความยั่งยืน
โดยเริ่มรายงานฉบับแรกภายในเดือนเมษายน 2026 สำหรับปีงบประมาณ 2025 นี่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่กว้างขึ้นในการสร้างการรายงานความยั่งยืนที่ครอบคลุมภายในปี 2030
ความยืดหยุ่นและการคิดระยะยาว
ในโลกที่แตกแยกนี้ องค์กรต่างๆ จะต้องมีความยืดหยุ่นและปรับตัวให้เข้ากับความแตกต่างในแต่ละภูมิภาคและภายในประเทศ จำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการรับมือกับข้อกังวลเร่งด่วนจากการหยุดชะงักของสงครามการค้ากับการจัดลำดับความสำคัญและการไม่ละสายตาจากการดำเนินการ ESG ที่สำคัญและการยกระดับเทคโนโลยี
การปรับตัวในระยะสั้นเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าแนวโน้ม ESG จะมีขึ้นๆ ลงๆ แต่ในระยะยาว ESG จะยังคงเป็นทิศทางที่ยั่งยืน โดยจะมีการมุ่งเน้นที่ ESG และกลยุทธ์สีเขียวเพิ่มขึ้นในฐานะกลไกการเติบโตใหม่ที่ครอบคลุมและมีส่วนร่วม
ที่มา : งานสัมมนา “ESG in a fragmented world” วันที่ 16 มิ.ย.68 โดยวิทยากร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โฆษณา