มุมมองนี้น่าจะอยู่บนพื้นฐานว่า SET น่าจะ Bottom เดือนนี้ และจะไปอย่างน้อยที่ประมาณ 1260 ใน 5 ปี โดยไม่รวมปันผล
ก็ต้องกลับมาดูว่าหุ้นไทยเมื่อเทียบกับ MSCI Emerging Markets เป็นอย่างไร เพราะผู้ซื้อรายใหญ่ของ SET คือต่างชาติ ขณะที่ผู้ขายรายใหญ่ในช่วงข้างหน้าคือกองทุน LTF
PE ของ SET 15.02 เทียบกับ MSCI Emerging Markets ที่ 14.42
Forward PE ของ SET 13.1 เทียบกับ MSCI Emerging Markets ที่ 12.15
PBV ของ SET 1.05 เทียบกับ MSCI Emerging Markets ที่ 1.81
Yield ของ SET 4.32 เทียบกับ MSCI Emerging Markets ที่ 2.65
ถ้าดูจากความสามารถในการทำกำไร SET ก็ไม่ได้ถูก
ถ้าดูจากมูลค่ากิจการ SET ก็ถูก ผมคิดว่าตอนนี้ PBV ช่วยค้ำ SET ไว้
ลองดูในมุมมองเศรษฐกิจมหภาคบ้าง
จากเอกสารการประชุมของ กนง.
GDP Growth ของไทยจะ Bottom ในครึ่งหลังของปีนี้ ต่อเนื่องไปถึงปี 2569 ซึ่ง GDP Growth จะอยู่ที่ 1.7%
การคาดการณ์อยู่บนสมมติฐาน Tariff ของไทยถูกเก็บที่ 18% จีน 30% และประเทศอื่น 10%
ตลาดหุ้นน่าจะรับข้อมูลนี้ไปแล้ว
คำถามสำคัญคือหลังจากปี 2569 GDP ของเราจะ Growth ได้แค่ไหน
สามปีที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทในตลาดเติบโตขึ้นประมาณ 7% แต่..กำไรกลับลดลง แปลได้ว่าบริษัทไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ ผมคิดว่าน่าจะมาจากการแข่งขันจากสินค้าจีน และเราก็น่าจะยังอยู่ในสภาพนี้อีกระยะหนึ่งซึ่งยาวนานพอสมควร
การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจำเป็นต้องลงทุนในเครื่องจักร เทคโนโลยี เพื่อเพิ่ม Productivity และที่สำคัญกว่านั้นคือต้องลงทุนเรื่องคน ซึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ดูจะยังไม่เห็นความหวังในอนาคตอันใกล้นี้ และเราอาจจะไม่สามารถแข่งขันในภาคผลิตได้เลย ดังนั้นเราอาจจะต้องหันมามองในภาคบริการมากขึ้น
กลับมาตอบคำถามของคุณอาทิตย์เรือนสิบครับ
ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะ Bottom แล้ว แต่คงไปได้ไม่ไกล ตราบใดที่โจทย์ใหญ่ไม่ได้รับการแก้ไข EPS ของ SET ก็ยากจะโตได้ Saving ของรายย่อยเหลือไม่มากหลังจากรับหุ้นมาโดยตลอดกว่าแสนล้านในปีนี้ ผลตอบแทนการลงทุนก็คงคาดหวังไม่ได้มากครับ
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
