26 มิ.ย. เวลา 07:01 • ประวัติศาสตร์

๑๔

​“เทียนในถาดนั้นครบ ๒๒ มัดแล้วหรือนิจ?”
“๒๑ มัดเท่านั้นแหละค่ะ”
“อ้าว! ต้อง ๒๒ ถึงจะถูก อายุเธอครบ ๒๑ ไม่ใช่หรือ? ธรรมเนียมทำบุญอายุเขาต้องทำเกินองค์หนึ่งเสมอ” พูดแล้วเฉลายกกระจาดเทียนเข้ามาใกล้ เรียงเทียนขี้ผึ้ง ๒๑ เล่มให้เป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วมัดด้วยด้ายขาว
หล่อนกับนิจกำลังนั่งทำงานอยู่ที่นอกชานเรือนฝากระดานชั้นเดียวในบ้านใหม่ ที่จริงเรือนนี้มีไว้​สำหรับให้คนใช้อยู่ แต่ยังคงมีห้องว่างที่แม่บ้านสาวใช้เก็บสัมภาระกระจุกกระจิกและอาศัยในเวลาทำงาน
“นี่เป็นความรู้ใหม่” นิจพูดพลางหัวเราะ “เกิดมาเพิ่งเคยทำของทำบุญเองเป็นครั้งแรก ปีก่อนๆ คุณแม่ทำให้ทุกที และนิจไม่เคยสังเกตเลยว่าของนั้นมีจำนวนเกินอายุเสมอ ขันแท้ๆ”
“เอ้าเสร็จแล้ว เธอเพิ่มใบชา หมาก พลู บุหรี่ และไม้ขีดไฟลงถาดอีกอย่างละหนึ่ง พี่จะมัดธูปให้ ส่งกรรไกรให้พี่ที”
เมื่อจัดของลงในถาดแล้ว ก็ช่วยกันยกถาดเหล่านั้นไปแอบไว้ในห้อง หมากตัดเป็นระแง้เล็กๆ ระแง้ละ ๕ แผล กับพลูซึ่งอยู่ในซองและห่อยาจืดอยู่ในถาดหนึ่ง ไม้ขีดไฟห่อใหญ่กับบุหรี่ใบตองอ่อนอีกถาดหนึ่ง ธูปเทียน​อยู่รวมกัน ใบชาอยู่ต่างหาก ๔ ถาดวางเรียงเป็นแถว
“เสร็จกันที” นิจพูดพลางเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก แล้วยืดตัวเหยียดแขนออก “แหมเมื่อยหลังจัง ถ้าหากพี่เฉลาไม่มาป่านนี้นิจคงนั่งอยู่คนเดียว”
เฉลายกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วยิ้มอย่างตรึกตรอง หล่อนยังเป็นนางสาวเฉลา ชัยนคร อยู่อย่างเดิม เวลาสองปีทำให้หน้าของหล่อนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงสดชื่นและน่ารักตามเคย ถึงแม้ว่าแววตาของหล่อนจะไม่คมเฉียบอย่างแต่ก่อน เชื่องช้าลงและขรึม แต่ก็ยังเป็นแววตาของคนฉลาด มีความรู้หลักแหลม ช่างคิด ช่างตรอง
“นี่กับข้าวและของหวานทำที่บ้านคุณอาหรือ?” เฉลาถาม
​“ค่ะ ทำที่นี่ไม่ไหว คนไม่พอ พรุ่งนี้คุณพ่อกับคุณแม่จะนำมาพร้อมกับตัวท่าน พี่เฉลาต้องมาด้วยนะคะ ย่ำรุ่งตรงถึงนี่”
“จ้ะ พี่จะมา มาอนุโมทนากุศลและชมเชยความสุขของเธอ นั่งรอเวลาเช้าตรู่เป็นของโปรดของพี่ด้วย”
“ความสุขที่เธอเป็นผู้อุปการะ” นิจต่อ กอดคอเฉลาไว้ “เอ๊ะ..ถึงเวลา…...คุณหลวงมาแล้ว ป่านนี้รถกำลังขึ้นสะพาน”
“เอ๊ะ! เธอรู้ได้อย่างไร” เฉลาถามด้วยความพิศวง
“รู้สิคะ” นิจตอบยิ้มละไมอย่างมั่นใจจริง ๆ “ไม่เชื่อก็คอยดูซี นิจทายถูกหรือไม่”
เพียง ๓ นาที ภายหลังเท่านั้นมีรถแล่นเข้ามาในบ้านจริง ๆ เฉลาได้ยินเสียงประตูปิดดังปังใหญ่ ​พอสุดเสียงนั้นก็ได้ยินเสียงผู้ชายพูดว่า “นี่คุณไปไหนล่ะ?”
เฉลามองดูหน้าเพื่อน ซึ่งกำลังยิ้มอย่างผาสุก หล่อนก็พลอยยิ้มด้วยในความสุขของเพื่อน
“แหม! ไฟฟ้าถึงกันแรงจริงนะ” หล่อนพูด “รถยังอยู่แค่สะพานอีกคนหนึ่งอยู่ในบ้านละรู้แล้วล่ะ นี่แสดงว่ากลับบ้านตรงเวลาเสมอไม่เคยชักช้าสักนาทีเดียวใช่ไหม?”
นิจหัวเราะเบา ๆ อย่างอิ่มเอิบตอบว่า
“ค่ะ โดยมากไม่ค่อยช้า นอกจากมีธุระอะไรจำเป็นมักโทรศัพท์มาบอกก่อน”
ขณะนั้นเสียงฝีเท้าเดินโครมๆ อยู่บนตึกแสดงว่าผู้เดินๆ อย่างไม่ปรานีปราศรัย สักครู่หนึ่งเสียงรองเท้าแตะลงบันไดดังแฉะ ๆ สนั่น นิจกับเฉลานั่งลงห่อธูปกับเทียน แล้วรวบรวมของที่เหลือใช้ เสียงฝีเท้า​ดังใกล้เข้ามาทุกที
“อะฮา! คุณพี่ ผมไหว้ครับ คนที่มาใหม่พูดแกมหัวเราะ แล้วขึ้นบันได ๓ ขั้นมานั่งเท้าแขนพิงลูกกรง นิจหันไปยิ้มกับเขาอย่างหวานที่สุด เฉลาพูดว่า
“เอาวางไว้นั่นแหละค่ะ”
“อะไร?”
“ไหว้น่ะซีคะ”
“แหม! ดูถูกจริงคุณพี่นี่ เขาไหว้ทั้งทีไม่รับ วางทิ้งไว้ดื้อๆ ยังงั้นหรือ?”
“ไม่รับไม่แร็บละ เอาแต่เพียงขอบใจเถอะ”
“ใช้ได้-นี่ทำอะไรกันนี่?”
“จัดของสำหรับใส่บาตรพรุ่งนี้ยังไงล่ะคะ” นิจตอบ
“นี่จะมาทำลืมวันเกิดกันอีกละหรือ?” เฉลายั่ว
​“ลืมที่ไหนได้” ชายหนุ่มพูดอย่างเหย่อยิ่ง “ไปจ่ายตลาดมาด้วยกันนี่นา-แต่ฉันไม่เคยเห็นเธอทำของที่นี่นี่นิจ เห็นส่งไปที่บ้านเจ้าคุณทุกที”
ก็เมื่อปีกลายนี้นิจทำไหวเมื่อไหร่ล่ะ” ภริยาสาวตอบ
“อ้อ จริง! จริง! ลืมไป! เมื่อปีกลายนี้กำลังอ้วน”
นิจหันไปค้อนให้ทีหนึ่ง เฉลาหัวเราะอย่างขบขันที่สุด
“เออ! นี่หนูหายไปไหน?” ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างตกอกตกใจ
“ไปกับคุณย่าตั้งแต่เช้าค่ะ”
“ป่านนี้ยังไม่กลับ? ตายละไปอยู่ทั้งวัน ประเดี๋ยวเอาอะไรต่ออะไรป้อนเข้าไปกลับมาท้องเสียแย่”
​“แหม! คุณพ่อ ช่างห่วงลูกจริงนะเหมือนกับใคร ๆ เขาไม่รู้จักภาษาอะไรยังงั้นแหละ”
เฉลาว่าแล้วค้อนให้วงหนึ่ง “ดูราวกับตัวเคยเป็นพ่อแต่คนเดียว”
“อ้าว คุณพี่ เคยโดนแล้วนี่นาถึงได้เป็นห่วง…...นี่เมื่อไรถึงจะกลับกันเสียที่ล่ะลูกเราน่ะ”
ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับภริยา
“เราต้องไปรับค่ะ” นิจตอบ “พาพี่เฉลาไปส่งบ้าน แล้วเลยไปรับหนู”
รุ่งขึ้นตอนเช้าตรู่ พระอาทิตย์แรกขึ้นอากาศกำลังบริสุทธิ์และสดชื่น ดอกไม้กำลังหอม แมลงภู่กำลังสอดส่ายสุดเรณู นกกำลังออกจากรังโผผินบินไปมา เจ้าคุณสุรแสนสงครามกับคุณหญิงมาถึงที่อยู่​ของบุตรี ลงจากรถตรงประตูใหญ่ ที่นั่นมีโต๊ะตั้งเตรียมอยู่พร้อมด้วยขันเชิงเงินใส่ข้าว ซึ่งกำลังร้อน ควันขึ้นฉุยกับของถวายสิ่งอื่น
คุณหญิงเรียกคนใช้ให้ยกถาดกับข้าวและของหวานจากรถเอาลงมาตั้งบนโต๊ะ เจ้าคุณเดินตัดสนามไปที่หน้าตึก ยังไม่พบเจ้าของบ้าน อีกประเดี๋ยวหนึ่งเฉลาก็มาถึง ยืนคุยกับเจ้าคุณเป็นนาน นิจยังคงไม่ลงมา ในที่สุดเจ้าคุณอัดใจทนไม่ได้ เลยชวนเฉลาขึ้นไปข้างบน
เสียงหัวเราะดังคิกคักอยู่ในห้องชั้นบนที่ติดกับบันไดนั่นเอง เจ้าคุณเลี้ยวเข้าไปในห้องนั้นจึงเห็นบุตรเขยของท่านนั่งยองๆ มือประคองเด็กขนาดขวบกว่า ๆ ไว้ในท่าให้เด็กยืน นิจกำลังพยายามจะใส่กระดุมเสื้อให้เด็กนั้น ซึ่งกำลังกระโดดขึ้นกระโดดลง​และหัวเราะอยู่แก๊กๆ ข้างๆ คนทั้ง ๓ มีเสื้อตัวนิดๆ สีต่างๆ ทิ้งอยู่เรี่ยราด ชายหนุ่มเป็นคนเห็นเจ้าคุณก่อน เขาพูดว่า
“แน่ะ หนูคุณตามาแล้ว เร็วๆ เข้า อย่าดิ้นไปซี แม่เขาใส่กระดุมไม่ติด”
“ไม่เอาละ!” นิจร้องแล้วลุกขึ้นยืน “ผันแกไปจัดการไป๊”
หล่อนวิ่งเข้าไปกราบและกอดบิดา เจ้าคุณจูบบุตรสาวพลางว่า
“ขอให้เจ้ามีความสุขยิ่งๆ ขึ้นนะนิจ อายุมั่น ขวัญยืน อยู่กับสามีจนแก่จนเฒ่า”
บุตรเขยของเจ้าคุณอุ้มบุตรเข้ามายืนตรงหน้า
“หนู ขอรับผมคุณตาเสียที อ้าวอย่าดื้อวันนี้เป็นวันเกิดของแม่หนูต้องเป็นเด็กดี น่านยังงั้น”
​เจ้าคุณสุรแสนรับหลานมาจากบุตรเขย พ่อหนูสะบัดขาแรงแล้วหัวเราะ มือน้อยๆ คว้าผมอันหงอกขาวของเจ้าคุณเข้าไว้แน่น นิจหันไปหาเฉลา สองหญิงสวมกอดกัน เฉลาอวยชัยให้พรเสียยืดยาว ส่งห่อกระดาษสีชมภูอ่อนให้ วัตถุในห่อนั้นเป็นหีบกำมะหยี่สีน้ำเงิน เปิดหีบนั้นขึ้นจึงเห็นสายสร้อยเส้นเล็กนิดหนึ่ง มีพลอยสีโศกอยู่ในเรือนทองแขวนอยู่ด้วย นิจเอาสายสร้อยสวมคอแล้วกล่าวคำขอบใจอย่างอ่อนหวาน
“ลงไปข้างล่างกันหรือยังล่ะ” เจ้าคุณเตือนขึ้น “ป่านนี้พระคงมาแล้ว มัวทำอะไรกันอยู่นะ เมื่อตะกี้ แขกมาถึงบ้านไม่เห็นมีใครรับ”
“คุณหลวงแน่ค่ะ เกิดจะแต่งตัวลูกเองขึ้นมาละ เสื้อกี่ตัวๆ ไม่ถูกใจ เจาะจงจะให้ใส่อ้ายตัวสีชมพูที่ขาดน่ะแหละ”
​“ไม่ช่าย! ฉันเห็นว่าเธอเกิดในวันอังคารถึงอยาก ให้เจ้าหนูแต่งตัวสีชมภูเหมือนกับฉันยังไงล่ะ”
เจ้าคุณสุรแสนส่งหลานให้กับบุตรสาวแล้วพากันกลับลงมาข้างล่าง นายวันผู้มีหน้าที่คอยนิมนต์พระ รายงานว่ายังไม่มีพระผ่านมาทางนี้สักองค์ จึงจับกลุ่มคุยกันเพื่อฆ่าเวลา
“นี่หนูเมื่อไรจะมีชื่อเสียสักที?” เจ้าคุณสุรแสนถามขึ้น
“ผมอยากจะให้ชื่อสมใจ แต่แม่เขาไม่ยอมเขาจะให้พี่เฉลาของเขาตั้งให้”
“อยู่ดีๆ จะให้ชื่อสมใจ ซึ่งไม่มีจริงสักนิดนี่คะ นิจจะเล่าให้ฟังทุกคน เมื่อหนูเกิด พอรู้ว่าเป็นผู้ชาย คุณหลวงสะบัดหน้าแสดงความไม่พอใจเห็นโต้งๆ แล้ว จะให้ลูกชื่อสมใจถูกที่ไหนเป็นการหลอกเด็กเปล่าๆ”
​“เธอละก้อ! เดี๋ยวนี้มันสมใจฉันแล้วเพราะหน้าตามันเหมือนเธอราวกับแกะ” หันไปทางเจ้าคุณ “ผมอยากให้ลูกคนแรกเป็นผู้หญิงจะได้เอาไว้ดูแทนตัวนิจ เมื่อเราทั้งสองแก่เฒ่าลง ผมหวังว่าถ้าลูกหัวปีเป็นผู้หญิงคงมีนิสัยใจคอเหมือนแม่ไม่มีผิด พอเป็นที่ไว้ใจให้ดูแลน้องและเป็นตัวอย่างความประพฤติแก่น้องได้ในเวลาต่อไป แต่หนูดูเหมือนมันรู้ใจผม ยิ่งนานวันยิ่งเหมือนแม่มากขึ้น ดูซีครับตาหนูกับตานิจราวกับตาเดียวกัน ผิดแต่ที่แววเท่านั้น”
คุณหญิงสุรแสนพอใจในคำพูดอันเป็นเชิงยกย่องบุตรีเป็นอันมาก พอจบลงท่านกล่าวว่า
“ระวังนะเขาว่าหน้าตาของเด็กมักเปลี่ยนเสมอ เล็กๆ สวยโตขึ้นอาจขี้ริ้วก็ได้ ดูเด็กต้องดูเวลาเกิด​ใหม่ๆ เวลานั้นหน้าตาเหมือนใคร โตขึ้นมันจะเหมือนคนนั้น”
“นิจออกจะให้เกียรติยศแก่ดิฉันเกินสมควร” เฉลาเรียนคุณหญิง “ถึงกับให้เป็นผู้ให้ชื่อกับลูกชายคนโต น่ากลัวพ่อของหนูจะอิจฉา”
“ไม่มีเลย คุณพี่ เต็มใจที่สุด ชื่อที่คุณพี่ตั้งมาละก้อจะชอบทั้งนั้น ขอแต่ให้เร็วๆ เข้าเถอะ เจ้าหนูมันเกือบจะสองขวบอยู่แล้ว เมื่ออ้ายคำว่าหนูเต็มที่”
“อะไรเกือบสองขวบ” คุณหญิงท้วง “เพิ่ง ๑๕ เดือนเท่านั้น
“คุณพ่อท่านอยากให้ลูกของท่านเป็นหนุ่มเร็วๆ” เฉลาว่า
“นั่นแน่ พระมาแล้ว!” ชายหนุ่มร้องขึ้น “เดินตามกันเป็นแถว ไปเร็วหนู ไปช่วยแม่ใส่บาตร”
​แสงแดดขึ้นมาเรื่อๆ ส่องลอดใบไม้มาตรงที่นิจยืนอยู่ พระภิกษุผู้มีหน้าอิ่มเอิบด้วยสีผ้าเหลืองจับ ยืนอุ้มบาตรอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มร่างสูงและผึ่งผาย ดวงหน้าสดชื่น ยืนอยู่ข้างภริยาตักข้าวและหยิบของรับประทานใส่ลงในบาตร สามีมือซ้ายอุ้มบุตรชาย มือขวาหยิบของไทยทานใส่ตามลงไปองค์ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม จนถึง ๒๒ องค์เป็นองค์ที่สุด นิจรับบุตรชายมาจากสามีแล้วจุมพิตแก้มเป็นพวงของพ่อหนู หลวงธนสาร
แสดงเหมือนยังเสียดายที่ได้อุ้มลูกไม่นานพอ เขยิบเข้าไปใกล้ก้มลงจุมพิตบุตรบ้าง ศีรษะทั้งสามชนชิดรวมกันอยู่ภายใต้แสงแดด อันเป็นวงกลมที่ถนนหน้าบ้าน สีเหลืองอ่อนของจีวรพระที่เดินเรียงกันเป็นแถวกำลังถูกแสงแดดจับเต็มที่ ความมันของฝาบาตร​ที่ทำด้วยทองเหลืองกำลังเป็นประกาย พระสงฆ์ ๒๒ รูปเดินสำรวมอิริยาบถตามกันไปช้าๆ ขึ้นสะพาน เฉลิมโลกลงทางถนนเพชรบุรี ภาพอันน่าเลื่อมใสบูชาก็ลับหายไป.
โฆษณา