27 มิ.ย. เวลา 05:59 • ปรัชญา

watthakhanun

พวกเราเดินทะลุออกมาทางด้านนอก ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว ปรากฏว่าพ่อซุนหงอคงตัวจริง ไม่ทราบว่าทำกระบองค้ำสมุทรของตนเอง หล่นปักอยู่ตรงนั้นเมื่อไร ? กลายเป็นเทอร์โมมิเตอร์ ซึ่งตอนนี้อุณหภูมิพุ่งปรี๊ดไปถึง ๕๓ องศาเซลเซียส..! แต่กระผม/อาตมภาพกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ขณะที่คนอื่นทำท่าจะตายเสียให้ได้..!
"ท่านอูฐ" บอกว่า "เจ้าแตงนั่นแหละครับช่วยเอาไว้" กระผม/อาตมภาพถึงได้รู้ว่าการกินของเย็นในสถานที่ร้อนขนาดนี้ เป็นเรื่องที่ช่วยได้จริง ๆ ถ้าในเวลาปกติ ก็คงมาลาเรียกำเริบไปแล้ว..! แต่นี่กินแตงชิ้นเบ้อเริ่มเข้าไป มายืนอยู่กลางอากาศ ๕๓ องศาเซลเซียสแบบ "ชิล" มาก แทบจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย..!
จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดชั้นบนไปถ่ายรูปเจ้าพ่อกระทิงทอง นางพญาพัดเหล็ก ตลอดจนกระทั่งพระถังซัมจั๋งและลูกศิษย์ทั้งสาม แต่เจ้าประคุณเถอะ..บรรดาคนจีนทั้งหลายไม่มีความเกรงใจกันเลย ถึงเวลากูก็พุ่งเข้าใส่ คนอื่นจะถ่ายรูปไม่ถ่ายรูปกูไม่สนใจ ขอให้กูถ่ายรูปได้ก็แล้วกัน กระผม/อาตมภาพไม่อยากรบราฆ่าฟันกับกองทัพแดง จึงได้ย้อนกลับลงมาทางด้านล่าง เดินวนกลับออกไปทางที่จอดรถยนต์ของพวกเรา
เมื่อมากันครบถ้วนแล้ว "อาหมิง" ก็พาพวกเราวิ่งไปยังภัตตาคาร ซึ่งวันนี้พวกเราได้กินอาหารตามเวลาของคนถูลู่ฟาน ก็คือบ่ายโมงครึ่ง ก็ถือว่าเป็นการกินเร็วไปเสียด้วย เพราะที่นี่เขากินกันตอนบ่ายสองโมง..! อาหารวันนี้มีเนื้อแกะเหมือนเดิม แต่ว่าอร่อยกว่าวันก่อนมาก จึงมีหลายคนทดลองชิมไปเหมือนกัน มาที่นี่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือแตงโมที่จะต้องมีทุกมื้อ และสิ่งที่ภัตตาคารนี้ทำเอาพวกเราชอบใจก็คือ มี
น้ำอัดลมและน้ำแข็งให้ด้วย
หลังจากที่กินข้าวกินปลากันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินทางต่อไป เพื่อดูระบบประปาโบราณที่เรียกว่า "คานเอ่อร์จิ่ง" ซึ่งเป็นความรู้ที่คนโบราณชักเอาน้ำจากภูเขาหิมะเทียนซาน ผ่านภูเขาเพลิงฮั่วกั่วซานลงมาจนกระทั่งถึงเมืองถูลู่ฟาน เป็นการขุด
อุโมงค์ประปาใต้ดินนับเป็นพันสาย..!
ต้องบอกว่าสุดยอดของความทรหดอดทน มีการใช้เทคนิคแบบโบราณ ก็คือใช้ไฟสามดวง จุดอยู่ห่าง ๆ กัน เล็งดูว่าแนวตรงกันหรือไม่ ? หรือไม่ก็ต่างคนต่างใช้ไม้ชี้เข้าหากัน เพื่อดูว่าตรงแนวหรือไม่ ? นับเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มหึมามาก เนื่องเพราะว่าเป็นของที่สร้างมาเป็นพันปีแล้ว แต่ว่ายังใช้งานจริงอยู่ถึง ๗๐๐ กว่าอุโมงค์..!
พวกเราซื้อตั๋วแล้วเดินเข้าไปทางด้านใน ถ่ายรูปหมู่กันด้านหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไปดูสถานที่ซึ่งเป็นสถานที่จริง น้ำที่ไหลจากภูเขาหิมะนั้น เย็นเหมือนอย่างกับน้ำที่ออกมาจากตู้เย็นเลยทีเดียว..! เมื่อพวกเราเดินดูบริเวณที่เขาเปิดไว้บ้าง ปิดไว้บ้าง เพื่อให้เห็นว่าเส้นทางน้ำเป็นอย่างไร ระบบประปาโบราณคานเอ่อร์จิ่งนี้ เป็นสิ่งก่อสร้างโบราณที่ได้รับความเคารพนับถือและใช้งานมาถึงปัจจุบัน คล้ายคลึงกับการสร้างกำแพงเมืองจีนเลยทีเดียว
เมื่อเดินจนกระทั่งสุดเขตแล้ว พวกเราก็เดินเข้าไปยังสวน "ผูเถาโกว" ซึ่งเป็นสวนองุ่น ทำการปลูกองุ่นอยู่ ณ ที่นี้ แล้วมีการสาธิตการตากองุ่นแห้งหรือลูกเกดให้ดูด้วย วันก่อนที่เมืองตุนหวง กระผม/อาตมภาพซึ่งรับฝาก "หม่าม้า" (นางสาวไพรินทร์ สุวิชชาญพันธุ์) หรือที่คนจำนวนหนึ่งเรียกว่า "มาดามชวง" ให้ช่วยซื้อลูกเกดชนิด "หง
เซียงเฟย" ก็คือ "นางสนมหอมสีแดง"
ปรากฏว่ามีคนทักท้วงว่า ให้มาที่สวนผูเถาโกวแห่งนี้แล้วค่อยซื้อดีกว่า เพราะว่าอยู่ในสถานที่เลย น่าจะราคาถูกกว่ามาก แต่พอมาแล้วก็เจอ "แห้ว" ไปเต็มรถ เนื่องเพราะว่าองุ่นที่นี่เพิ่งจะลูกเท่าปลายนิ้วก้อยเท่านั้นเอง เขาบอกว่า ต้องอีกประมาณหนึ่งเดือนถึงจะเก็บได้..!
ในเมื่อไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ พวกเราจึงเดินมาด้านทางออก ที่ผ่านร้านขายยาสมุนไพรจีน มีเห็ดหลินจือชิ้นใหญ่เกือบเท่าหน้าโต๊ะ..! ไม่ทราบเหมือนกันว่าอายุกี่ร้อยกี่พันปีอยู่ด้วย นอกนั้นก็เป็นสินค้าที่ระลึกทั่ว ๆ ไป
กระผม/อาตมภาพเดินหาห้องน้ำ แต่หาไม่เจอ น้องเล็กที่เดินตามมาก็หาไม่เจอเช่นกัน จนกระทั่งป้าศุ (นางศุภากาญจน์ หว่อง) ชวนให้เดินออกไปทางด้านนอก จนกระทั่งถึงประตูทางออกแล้ว น้องเล็กก็โทรมาบอกว่าเจอห้องน้ำแล้ว กระผม/
อาตมภาพจึงเดินย้อนกลับเข้าไปคนเดียว
เมื่อไปจวนจะถึงก็สวนกับ "น้องกิ๊ก" อีกฝ่ายบอกว่าด้านนอกก็มี กระผม/อาตมภาพจึงตามออกมาจนกระทั่งถึงบริเวณทางออก "น้องกิ๊ก" ตะโกนถามเจ้าหน้าที่ อีกฝ่ายบอกว่าห้องน้ำอยู่ด้านใน..! กระผม/อาตมภาพได้แต่ปลงอนิจจัง นี่ถ้าปวดกว่านี้หน่อย
ตูก็คงจะฉี่ราดตรงนี้เลย..!
ว่าแล้วก็เดินย้อนกลับเข้าไปทางด้านใน เข้าห้องน้ำแล้วถึงได้ออกมา แต่ยังถึงรถก่อน เนื่องเพราะว่าน้องเล็กและคุณนายสมหวังต่างคนต่างเดินหากัน เมื่อคนหนึ่งเดินเข้า คนหนึ่งเดินออก คนหนึ่งเดินออก คนหนึ่งเดินเข้า ก็เลยหากันไม่เจอเสียที..!
จากบริเวณนั้นพวกเราก็มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงของแคว้นซินเจียง ก็คืออูลู่มู่ฉี ใน
ระหว่างที่วิ่งหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปนั้น "ท่านอูฐ" ก็บอกว่าอีกสักครู่หนึ่งจะถึงที่พักรถ ตามกำหนดกฎหมายของเมืองจีน ที่นั่นมีลูกเกดหงเซียงเฟยขาย ต้องแวะให้ได้ เมื่อคุณโบตั๋นถามว่า "หลวงพ่อจะแวะหรือไม่ ? ข้างหน้ามีจุดจอดรถ" กระผม/อาตมภาพจึงรีบรับปาก เมื่อจอดลงไป ทุกคนก็ร้องโอ้โฮ..! เพราะว่าเป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่โตมโหฬาร ห้องน้ำก็กว้างใหญ่ไพศาล สะอาดสะอ้านมาก
เมื่อเข้าห้องน้ำกันแล้ว "ท่านอูฐ" ก็สะกิดให้ดูร้านค้าแห่งนั้น กระผม/อาตมภาพไม่แน่ใจ จึงหันมาถามน้องเล็ก อีกฝ่ายหนึ่งพยายามสะกดภาษาจีน ได้คำว่า "หง" คำเดียว จึงหันไปหาจนกระทั่งเจอคุณโบตั๋น ถามว่าใช่ลูกเกดหงเซียงเฟยหรือไม่ ? คุณโบตั๋นบอกว่าใช่ กระผม/อาตมภาพจึงสั่งมา ๒ จิน ก็คือ ๑ กิโลกรัม ซึ่งโดยปกติแล้ว การตักก็ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก เมื่อไปชั่งเครื่องอัตโนมัติ คำนวณราคาออกมา จึงเกินไปประมาณ ๒ หยวนกว่า
กระผม/อาตมภาพกำลังที่จะควักกระเป๋าจ่าย พอดีนายไก่ (ฐนชล ทิมแสง) มัคคุเทศก์ของเติมเต็มทราเวลมาถึงพอดี จึงช่วยต่อรองให้ จนกระทั่งเหลือ ๙๐ หยวนถ้วน ๆ ทำเอาคนอื่นที่ซื้อตามมา ต่างคนต่างก็ได้ราคาถูกไปตาม ๆ กัน ท้ายที่สุดก็มึงบ้างกูบ้าง คนจีนเห็นเราซื้อรู้ว่าของดีก็แห่กันซื้อบ้าง จนกระทั่งหงเซียงเฟยของร้านนี้หมดเกลี้ยงเหลือแต่กะบะเปล่า ๆ..! ครั้นไปดูร้านอื่นก็มีอยู่ ๑ ร้านซึ่งมีกะบะ
หนึ่ง แต่ว่าที่นี่ขายถึง ๑๐๐ หยวน..! ทำเอาพวกเราเดินถอยกันออกมา
กลับขึ้นรถได้ก็วิ่งยาว ๆ ไป "น้องกิ๊ก" เห็นว่าพวกเราซื้อข้าวของกันดีมาก จึงงัดเอาโบรชัวร์และสินค้าตัวอย่างมาให้ มีทั้งของกิน มีทั้งครีม มีทั้งน้ำหอมอะไรเหล่านี้เป็นต้น แต่ละคนชอบใจอะไรก็จดกันเอาไว้ เป็นเงินเท่าไร เดี๋ยวค่อยไปควักกระเป๋าให้ หลังจากที่สินค้ามาถึงแล้ว
ด้วยความสนุกเฮฮาในการขายของ แซวกันแหลกลาญอยู่บนรถ จึงทำให้ไม่ทันรู้สึกตัว ประมาณ ๑ ทุ่มครึ่งของเมืองจีน พวกเราก็มาถึงโรงแรมใหญ่โตมโหฬาร ก็คือโรงแรมฮิลตันเมืองอูลู่มู่ฉี เมื่อเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว เห็นว่ามีอ่างอาบน้ำด้วย กระผม/อาตมภาพจเปิดน้ำร้อนเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นก็จัดการลอกคราบตัวเอง แล้วมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เพื่อให้ทุกคนได้ฟังอยู่ในขณะนี้
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๘
โฆษณา