พลิกคดีฆาตกรรม มุสตาฟา อามีร์
จากปมรักสามเส้า สู่การเปิดโปงแก๊งค์ Call Center เครือข่ายค้ายาที่ฉาวที่สุดในปากีสถาน
Blockdit Orignals: บทความพิเศษ
ในโลกเราทุกวันนี้ มีข่าวฆาตกรรมขึ้นหน้าหนึ่งทุกวัน แต่ไม่ใช่ทุกคดีฆาตกรรม ที่สร้างความสั่นสะเทือนระดับประเทศ ที่จุดชนวนการสาวลึกถึงความเน่าเฟะ และดำมืดของแวดวงลูกหลานคนชั้นสูง และ เครือข่ายใต้ดินได้อย่างถึงกึ๋นได้ได้เท่าคดีฆาตกรรม มุสตาฟา อามีร์ และกลายเป็นคดีดังที่ในปากีสถานจนถึงวันนี้
มุสตาฟา อามีร์ นักศึกษามหาวิทยาลัยหนุ่มวัย 23 ปี เกิดในครอบครัวมีสถานะในการาจี เขาคงมีอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า หากไม่ไปข้องเกี่ยวกับเพื่อนผิดกลุ่ม จนเป็นเหตุให้เขาถึงแก่ความตายอย่างสยดสยอง โดยที่เขาไม่มีโอกาสได้แก้ตัว
จุดเริ่มต้นของคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2025 มุสตาฟา อามีร์ ได้ขับรถออกจากบ้านพัก ที่อยู่ในเขตการเคหะของกรมทหารในการาจี และหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา จนแม่ของเขาไปแจ้งตำรวจเพื่อตามหาตัวลูกชาย แต่ก็ยังไม่ได้ความคืบหน้า จนกระทั่งวันที่ 25 มกราคม แม่ของมุสตาฟาได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากสหรัฐอเมริกา มาข่มขู่เรียกค่าไถ่ตัวลูกชายเป็นเงินก้อนใหญ่ จึงทำให้ข่าวการหายตัวไปของมุสตาฟา อามีร์ ได้รับความสนใจจากสื่อในปากีสถานทันที เพราะเริ่มมีเค้าว่าคดีน่าจะมีความร้ายแรงกว่าแค่ลูกชายหนีแม่ไปเที่ยวบ้านเพื่อน
อีกด้านหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 11 มกราคม หลังจากที่มุสตาฟา หายตัวจากบ้านไป 5 วัน ตำรวจท้องที่ในแคว้นบาลูจิสถาน ที่อยู่ห่างจากการาจี ราว 570 กิโลเมตร พบรถยนต์ถูกเผาใกล้ด่านผ่านแคว้น และพบศพถูกเผาจนไหม้เกรียมอยู่ท้ายรถ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นใคร หน่วยงานรัฐจึงฝังศพนั้น ในฐานะศพไร้ญาติ ที่ยังหาผู้ต้องสงสัยไม่ได้
แต่เมื่อข่าวเรียกค่าไถ่มุสตาฟา เริ่มกลายเป็นข่าวดัง ตำรวจการาจีจึงขยายวงสืบสวนไปจนเจอรายงานคดีรถถูกเผาพร้อมศพที่บาลูจิสถาน จึงขอให้ขุดศพขึ้นมาพิสูจน์ DNA และพบว่า เป็นมุสตาฟา อามีร์ และ รถของเขาจริงๆ เท่ากับว่าเขาเสียชีวิตไปตั้งวันที่ 11 มกราคม แล้วโทรศัพท์ขู่เรียกค่าไถ่หลังจากนั้น คืออะไร?
แม่ของมุสตาฟา ได้ให้ข้อมูลกับตำรวจว่า เธอสงสัยเพื่อนของลูกชายคนหนึ่ง และเชื่อว่าน่าจะเป็นคนที่สังหารลูกชายของเธอ คนนั้นคือ อาร์มากัน กาเรสจี ที่อาจมีเหตุจากความหึงหวง เพราะทั้งสองมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงตั้งแต่ช่วงปีใหม่ เพราะกำลังแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน ที่ชื่อ มาร์ชา ซาฮิด
ตำรวจไม่รอช้า รีบตามไปที่บ้านของ อาร์มากัน กาเรสจี เพื่อเรียกมาสอบปากคำ แต่สุดท้ายกลายเป็นการปะทะเดือด เมื่ออาร์มากันยิงต่อสู้กับตำรวจ กว่าตำรวจจะล้อมจับตัวมาได้ ใช้เวลานานกว่า 12 ชั่วโมง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บถึง 2 นาย
หลังสอบปากคำ อาร์มากัน รับสารภาพว่า เขาเป็นคนสังหาร มุสตาฟาจริง เพราะมุสตาฟามาหาเรื่องเขาที่ไปข้องแวะกับมาร์ชา แฟนสาว ด้วยความโมโห เขาไปมั่วสุมเสพยากับเพื่อนอีกคนที่ชื่อ "ชิราซ"
พอกรึ่มได้ที่ ก็ขับรถออกมาตระเวณเที่ยวในเมือง และได้พบกับ มุสตาฟา อามีร์ เข้าพอดี พวกเขาจึงพากันจับตัวมุสตาฟา มัดมือ ปิดปาก ขับรถของเขามายังบ้านพักลับ จัดการทุบตี ทรมานด้วยท่อนเหล็กร้อน
ชีราซ ให้การว่า อาร์มากัน ใจเย็นขนาดเล่นเกมทายเหรียญกับมุสตาฟา ถ้าเขาทายถูก จะไม่ถูกซ้อม และยอมปล่อยตัวกลับบ้าน แต่มุสตาฟาในขณะนั้น ถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส ไม่อยู่ในสภาพที่หนีได้อีกต่อไป พวกเขาจึงจับตัวมุสตาฟายัดใส่ท้ายรถ ขับมาจนถึงบาลูจิสถาน แต่ยังไม่ทันข้ามด่านเพราะน้ำมันหมด พวกเขาเลยจุดไฟเผารถ ทั้งๆที่มุสตาฟายังอยู่ท้ายรถ และยังมีชีวิตอยู่ เฝ้าดูรถวอดทั้งคัน แล้วจึงโบกรถกลับการาจี
ส่วน มาร์ชา ซาฮิด แฟนสาว หลบหนีไปยังสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เกิดเรื่อง
ตำรวจการาจี จึงกลับไปค้นบ้านพักลับของอาร์มากันอีกครั้ง แล้วก็พบว่าเขาซุกซ่อนปืนหลายสิบกระบอก แล็บท็อปมากกว่า 60 เครื่อง ที่ติดตั้งระบบ Call Center ไว้เชื่อมโยงกับสำนักงานแห่งหนึ่งในเมืองบังกาลอร์ ที่มีหนุ่ม-สาว ปากีสถานทำงานอยู่กว่า 30 คน
ความจริงจึงปรากฏว่า อาร์มากัน กาเรสจี เป็นหนึ่งในหัวหน้าแก๊งค์คุม Call Center ในบังกาลอร์ ที่ทำหน้าที่กระจายยาเสพติดให้กับพ่อค้ายารายใหญ่ 2 คนในบาลูจิสถาน และ กรุงอิสลามาบัด ให้กับกลุ่มลูกค้าที่เป็นลูกหลานดารา คนดัง นักการเมือง และคนมีสี มีตำแหน่งใหญ่ๆ ในปากีสถานเป็นจำนวนมาก
ทำให้มีการแฉรายชื่อลูกหลานคนดัง ที่ติดอยู่ในโผลูกค้าของอาร์มากัน และเครือข่ายการค้ายา และ ฟอกเงินขนานใหญ่ ที่เป็นผลพลอยได้จากการลืบคดีฆาตกรรมมุสตาฟา ที่ดูเหมือนจะปิดคดีได้แล้ว แต่ยังไม่จบแค่นั้น เมื่อต่อมา ผู้ต้องหาหลักทั้ง 2 คน อาร์มากัน และ ชีราซ กลับคำให้การ บอกว่าพวกเขาถูกซ้อม และข่มขู่โดยตำรวจให้รับสารภาพเพื่อลดโทษ ยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ฆ่าเพื่อน และขอไปพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล
ส่วนแม่ของมุสตาฟา ยังติดใจเรื่องโทรศัพท์เรียกค่าไถ่จากสหรัฐ และไม่เชื่อว่า มาร์ชา แฟนสาวของลูกชายไม่เกี่ยวข้องในคดีนี้ และเธออาจเป็นนางนกต่อคนหนึ่งในเครือข่ายธุรกิจนอกกฎหมายก็เป็นได้
ซึ่งการสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป และผู้เกี่ยวข้องในข่าวฉาวที่ขยายวงออกไปเรื่อยๆไม่ต่างจากโดมิโน เผยให้เห็นความดำมืดของแวดวงลูกหลานชนชั้นสูงบางกลุ่มในประเทศว่าเน่าเฟะเพียงใด
ในชีวิตของเรา อาจได้พบคนรู้จัก มากหน้า หลายตา แต่การคบหาใครสักคนมาเป็นคนใกล้ชิด เป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ เพราะการไปข้องแวะกับคนพาล ไม่เคยพาเรื่องดีๆเข้ามาในชีวิต นอกจากเสียเวลา และ ขาดทุน
****************
ติดตามบทความของ "หรรสาระ" เพิ่มเติมได้ที่
Facebook - หรรสาระ By Jeans Aroonrat
Twitter - @HunsaraByJeans
Blockdit - หรรสาระ By Jeans Aroonrat
แพลทฟอร์มคุณภาพ ไม่ปิดกั้นการมองเห็นเนื้อหา
****************
แหล่งข้อมูล
- 36
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
